Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
IMF เตือนรัฐบาลใหม่ไทยใช้เงินรอบคอบ มองหนี้สาธารณะสูงที่ 64% ของ GDP
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

IMF เตือนรัฐบาลใหม่ไทยใช้เงินรอบคอบ มองหนี้สาธารณะสูงที่ 64% ของ GDP

12 ก.ย. 68
20:31 น.
แชร์

จูลี่ โคแซค (Julie Kozack) โฆษกกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนรัฐบาลใหม่ของไทยให้ใช้นโยบายการคลังอย่างรอบคอบ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองและระดับหนี้สาธารณะที่สูงเกิน 60% ของ GDP โดยเน้นถึงความจำเป็นในการรักษาความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว

ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 นางโคแซคกล่าวว่า “สิ่งที่เราเห็นในประเทศไทยคือยังมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง และในคำแนะนำตามการประเมิน Article IV เราได้ชี้ว่า นโยบายควรมุ่งทั้งความต่อเนื่องและการรักษากันชนทางการคลังให้มั่นคง” พร้อมระบุว่านโยบายการคลังควรใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากหนี้สาธารณะยังอยู่ในระดับสูง และเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว รัฐบาลจำเป็นต้องค่อย ๆ ปรับลดการขาดดุลเพื่อฟื้นฟูกันชนทางการคลัง

ทั้งนี้ รายงาน World Economic Outlook (WEO) ฉบับเดือนกรกฎาคม 2568 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 2% ในปี 2568 และชะลอลงเหลือ 1.7% ในปี 2569 โดยนางโคแซคระบุว่าตัวเลขเหล่านี้อาจมีการปรับปรุงใหม่ในรายงานเดือนตุลาคม หากสถานการณ์เศรษฐกิจมีความเปลี่ยนแปลงหรือเผชิญปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติม

หนี้สาธารณะไทยเสี่ยงแตะเพดาน 70% ปี 2570

สำหรับสถานการณ์หนี้สาธารณะของไทยในปัจจุบัน ข้อมูลจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ระบุว่า ณ เดือนกรกฎาคม 2568 ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะคงค้างรวม 12.13 ล้านล้านบาท หรือ 64.49% ของ GDP มูลค่าประมาณ 18.81 ล้านล้านบาท แม้ยังต่ำกว่ากรอบเพดานที่กำหนดไว้ที่ 70% ของ GDP แต่ถือว่าอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในจำนวนนี้เกือบ 90% เป็นหนี้รัฐบาลโดยตรงรวม 10.88 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้ภายในประเทศถึง 10.25 ล้านล้านบาท ส่วนหนี้ต่างประเทศมีเพียง 67,523 ล้านบาท ขณะที่หนี้รัฐวิสาหกิจอยู่ที่ 1.03 ล้านล้านบาท และหนี้จากสถาบันการเงินเฉพาะกิจกับหน่วยงานราชการรวมกว่า 219,000 ล้านบาท

การที่รัฐบาลพึ่งพาตลาดการเงินภายในประเทศในการกู้ยืม แม้ช่วยลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและต้นทุนกู้ยืมต่างประเทศ แต่ก็ทำให้ต้องออกพันธบัตรและตราสารหนี้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่าในปี 2568 ประเทศไทยแทบไม่เหลือ “พื้นที่การคลัง” เพราะขาดดุลงบประมาณต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 และขยับใกล้กรอบกฎหมายควบคุมการขาดดุล ปัญหานี้ยิ่งซับซ้อนจากโครงสร้างงบประมาณที่มีภาระผูกพันสูง เช่น เงินเดือนและค่าจ้างบุคลากรราว 23% ของงบประมาณรายจ่าย และภาระชำระหนี้เดิมอีกราว 10% ทำให้การปรับลดค่าใช้จ่ายทำได้จำกัด รัฐบาลจึงต้องใช้งบประมาณแบบขาดดุลสูงถึง 4.5% ของ GDP ในปี 2568

แม้หนี้สาธารณะยังไม่แตะเพดาน 70% แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่จะขึ้นถึงระดับดังกล่าวภายในปี 2570 แม้ในแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2569–2572) รัฐบาลประกาศเป้าหมายลดการขาดดุลงบประมาณ แต่หนี้สาธารณะยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในบริบทที่เศรษฐกิจฟื้นตัวช้าหลังโควิด-19 และยังถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งศักยภาพการเติบโตในระยะยาว

ในอนาคต การปรับเพดานหนี้สาธารณะจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ทั้งในมิติความยั่งยืนทางการคลังและความเสี่ยงต่ออันดับความน่าเชื่อถือ เพราะหากถูกปรับลดระดับ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะลดลงและต้นทุนกู้ยืมจะสูงขึ้น กรณีของโครเอเชียและไซปรัสเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ทั้งสองประเทศเคยมีอันดับความน่าเชื่อถือเท่ากับไทยที่ระดับ BBB+ (S&P Global) แต่สามารถขยับขึ้นเป็น A- ในปลายปี 2567 หลังลดสัดส่วนหนี้สาธารณะลงอย่างมีนัยสำคัญและฟื้นฟูฐานะการคลังจนสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาดการเงิน

นอกจากนั้น รัฐบาลยังพยายามเพิ่มพื้นที่การคลังผ่านกลไก “กิจกรรมกึ่งการคลัง” (Quasi fiscal) โดยมอบหมายให้หน่วยงานรัฐดำเนินมาตรการแทนรัฐบาล และรัฐบาลชดเชยค่าใช้จ่ายหรือรายได้ที่สูญเสียภายหลัง ซึ่งกฎหมายกำหนดยอดคงค้างที่จะชดเชยต้องไม่เกิน 32% ของงบประมาณประจำปี สำหรับปี 2568 ประเมินไว้ราว 1.03 ล้านล้านบาท หรือ 27.4% ของงบประมาณ ซึ่งแม้ยังอยู่ในกรอบ แต่ก็สะท้อนข้อจำกัดด้านเสถียรภาพการคลังที่ต้องเผชิญต่อไปในอนาคต

ความเห็นนี้สอดคล้องกับ สบน. ที่ประเมินว่า สัดส่วนหนี้ต่อ GDP จะขยับใกล้เพดานกฎหมาย 70% ภายในปีงบประมาณ 2570 และอาจทะลุเล็กน้อยที่ระดับ 70.10-70.20% ในปี 2571 ทั้งที่ในแผนการคลังระยะปานกลางเคยคาดว่าจะอยู่เพียง 69.20-69.30% สาเหตุสำคัญมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าคาดการณ์เดิม รวมถึงแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก เช่น ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า และนโยบายภาษีของประเทศคู่ค้าหลัก ที่อาจทำให้รายได้รัฐต่ำกว่าเป้าและเพิ่มความจำเป็นในการกู้ยืมใหม่

แม้เจ้าหน้าที่ สบน. ยืนยันว่ายังไม่ใช่สัญญาณวิกฤติ เนื่องจากไทยยังมีทุนสำรองระหว่างประเทศและฐานะการเงินการคลังที่แข็งแกร่ง แต่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Moody’s ได้ปรับแนวโน้มเครดิตของไทยจาก “Stable” เป็น “Negative” ซึ่งสะท้อนความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังและอาจเพิ่มต้นทุนการกู้ยืมในระยะยาว

นักเศรษฐศาสตร์ยังเตือนว่า หากรัฐบาลเดินหน้ากู้ยืมใหม่ ก็ควรใช้เงินเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือโครงการที่ช่วยยกระดับศักยภาพการผลิต มากกว่าการใช้จ่ายในลักษณะที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เพราะหนี้ที่ไม่สร้างผลตอบแทนจะกลายเป็นภาระเรื้อรัง อีกทั้งควรควบคุมสัดส่วนดอกเบี้ยต่อรายได้ภาครัฐให้อยู่ในระดับต่ำ หากอัตรานี้สูงขึ้น ความสามารถในการชำระหนี้และความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะถูกบั่นทอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



แชร์
IMF เตือนรัฐบาลใหม่ไทยใช้เงินรอบคอบ มองหนี้สาธารณะสูงที่ 64% ของ GDP