โครงการคนละครึ่ง 2568 มาตรการที่หลายคนเฝ้ารอ เพื่อจะได้จับจ่ายใช้สอยสินค้าหรือบริการได้ในราคาถูกลง ส่วนร้านค้าเองก็เตรียมรับทรัพย์กับยอดขายที่กำลังจะเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นความชัดเจน ทั้งกำหนดการลงทะเบียน วงเงินต่อวัน ช่วงเวลาการใช้จ่ายที่ ประมาณ ต.ค. 68 ซึ่งมีสิ่งใดที่ควรรู้บ้าง บทความนี้มีข้อคิดดีๆ มาฝากกัน
แม้ยังไม่มีประกาศรายละเอียดที่ชัดเจน แต่หากพิจารณาจากโครงการคนละครึ่งในหลายเฟสที่ผ่านมา คาดว่าจะยังมีหลายอย่างที่มีลักษณะใกล้เคียงเดิม เช่น
หากสินค้าราคา 100 บาท รัฐจ่าย 50% หรือ 50 บาท เราจ่ายส่วนต่างที่เหลือ 50 บาท / หากสินค้าราคา 400 บาท รัฐจ่ายสูงสุด 150 บาท เราจ่ายส่วนต่างที่เหลือ 250 บาท
สำหรับโครงการคนละครึ่ง 2568 ตามกระแสข่าวล่าสุด คาดว่าเริ่มใช้ได้ประมาณ ต.ค. 68 โดยสัดส่วนที่รัฐจะสนับสนุนแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
จากข้อมูลวงเงินสูงสุดต่อวันและตลอดโครงการที่ผ่านมา แม้เราไม่ได้ใช้เต็มสิทธิทุกวัน ก็สามารถทยอยใช้ จนเต็มสิทธิตลอดโครงการได้ ดังนั้นการใช้จ่ายแต่ละครั้ง ควรใช้ตามความจำเป็น อย่าใช้เกินจำเป็นเพียงเพราะเห็นว่ามีรัฐช่วยจ่าย เช่น หากเดิมเราใช้จ่ายวันละ 150 บาท ในช่วงโครงการก็ควรเหลือจ่ายเอง 60-75 บาท* ไม่ใช่ว่ายังจ่ายเอง 150 บาท เพื่อให้ได้สินค้า/บริการ 300 บาท ที่เป็นสินค้าเกินความจำเป็น
เช่น ปกติใช้บริการร้านอาหารตามสั่งใกล้บ้านทุกเย็น รับประทานทั้งครอบครัวค่าใช้จ่ายมื้อละ 150 บาท หากร้านอาหารนี้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง โดยรัฐสนับสนุน 50% เราก็ควรเหลือจ่าย 75 บาท และหากวงเงินตลอดโครงการคือ 3,000 บาทต่อคน เท่ากับว่าเราสามารถใช้ได้เต็มสิทธิ โดยลดค่าอาหารมื้อเย็นได้ถึง 40 วัน*
แต่หากเลือกเปลี่ยนไปใช้บริการร้านอาหารอื่นที่แพงขึ้น เช่น ชาบู/หมูกระทะมื้อละ 300 บาท เพื่อให้เหลือจ่าย 50% หรือ 150 บาท* ทุกวัน ไม่เพียงแต่ค่าครองชีพไม่ลดลงแล้ว ยังทำให้เกิดความคุ้นชินกับร้านใหม่ หลังใช้สิทธิครบแล้วอาจเปลี่ยนพฤติกรรมไปใช้บริการร้านที่แพงขึ้น ทำให้มีค่าครองชีพที่สูงขึ้นได้ ซึ่งแม้เชื่อว่าตนเองยังสามารถจ่ายเงินส่วนเพิ่มนี้ได้ แต่ก็ทำให้มีเงินเหลือเก็บจากชีวิตประจำวันลดลง
โครงการคนละครึ่ง เหมาะกับการใช้จ่ายสินค้าหรือบริการในชีวิตประจำวัน เช่น อาหาร 3 มื้อ เครื่องดื่ม Taxi รถขนส่งสาธารณะ ฯลฯ เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐตามวงเงินที่กำหนด เช่น 150 บาทต่อวัน* หรือเทียบเท่าได้ส่วนลดไม่เกิน 50-60% อย่างไรก็ตาม ยังคงมีสินค้าหรือบริการบางอย่าง ที่ไม่เหมาะกับการใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง เช่น
-ชำระค่าสินค้า 7-Eleven ด้วย TrueMoney Wallet ที่ผูกกับบัตรเครดิต ใช้จ่ายแต่ละครั้งได้ทั้งคะแนนสะสมใน Application และบัตรเครดิต
-สั่งอาหารหรือเรียกรถผ่าน Grab หรือ LINE MAN ด้วยการผูก Wallet เพื่อให้ได้รับโค้ดส่วนลด หรือผูกบัตรเครดิตเพื่อสะสมคะแนน
*สมมติฐาน: รัฐสนับสนุน 50% แต่ไม่เกินวันละ 150 บาท
สำหรับร้านค้าที่จะร่วมโครงการ จากโครงการเฟสก่อนหน้านี้ หลายร้านค้ามีความเห็นตรงกันว่าในระหว่างโครงการ ร้านค้ามียอดขายเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติ ซึ่งแม้เป็นโอกาสเพิ่มรายได้ แต่ยังมีสิ่งที่ต้องเตรียม อย่างน้อย 3 เรื่อง ได้แก่เตรียมทรัพยากร เช่น วัตถุดิบที่ต้องเตรียมรองรับยอดขายที่มากกว่าปกติ ลูกมือที่ต้องรองรับกับลูกค้าที่เพิ่มขึ้น กระบวนการและตัวช่วยต่างๆ เช่น ป้ายแจ้งว่าร้านร่วมโครงการ ซักซ้อมการเปิด QR โดยเฉพาะลูกมือที่ไม่ถนัดการใช้เทคโนโลยี
-หากมียอดขายเดือนละ 50,000 บาท หรือปีละ 600,000 บาท จะเสียภาษีทั้งปีประมาณ 1,500 บาท ส่วนพนักงานประจำเงินเดือน 50,000 บาท จะเสียภาษีทั้งปีประมาณ 20,600 บาท หรือ 3.4%ของยอดขายทั้งปี
-หากมียอดขายเดือนละ 100,000 บาท หรือปีละ 1,200,000 บาท จะเสียภาษีทั้งปีประมาณ 19,500 บาท ส่วนพนักงานประจำเงินเดือน 100,000 บาท จะเสียภาษีทั้งปีประมาณ 122,750 บาท หรือ 10.2%ของยอดขายทั้งปี
** สมมติฐาน: ไม่มีรายได้อื่น มีค่าลดหย่อนเฉพาะลดหย่อนผู้มีเงินได้ 60,000 บาท และมนุษย์เงินเดือนมีลดหย่อนประกันสังคมปีละ 9,000 บาท
โครงการคนละครึ่ง หนึ่งในความหวังที่จะมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ คนใช้ได้ลดรายจ่าย ร้านค้ามีรายได้เพิ่ม อีกทั้งยังเพิ่มสิทธิเพื่อตอบแทนคนที่เสียภาษีอยู่แล้ว เพื่อให้ทุกคนได้รู้สึกมีส่วนร่วมไปกับโครงการคนละครึ่งเฟสนี้ ไปพร้อมกัน ส่วนมาตรการอื่นๆ คงต้องรอไอเดียกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ จากทีมคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ที่จากข่าวเห็นว่ามีหน้าใหม่อยู่หลายคน
นักวางแผนการเงิน CFP