หลังจากที่ "บิตคอยน์" เริ่มหลุด 40,000 ดอลลาร์ตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา หลายคนเริ่มทยอยเข้าซื้อเก็บ เพราะหวังว่ามันจะสามารถเด้งกลับขึ้นมาได้ง่ายๆ เหมือนที่เคยเป็นมาตลอดหลายเดือน
แต่กลายเป็นว่าบิตคอยน์ดีดกลับขึ้นมาไม่ได้ มิหนำซ้ำ ยังร่วงลงต่อเนื่องแบบ "หวาดผวา" จนล่าสุดในวันนี้ (10 พ.ค. 65) ได้หลุดแนวรับที่ 30,000 ดอลลาร์/BTC ไปเรียบร้อยแล้ว หรือเท่ากับร่วงไปกว่า 50% เมือเทียบกับราคาสูงสุดที่เกือบ 69,000 ดอลลาร์ เมื่อเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว
ทำไมบิตคอยน์และเหรียญคริปโททั้งวงการจึงร่วงแรงยกแผง และจะร่วงไปจนถึงเมื่อไร? ทีมข่าว SPOTLIGHT รวบรวมความเห็นจากนักวิเคราะห์ตามสื่อต่างๆ เป็น 3 เหตุผลหลัก ดังนี้
1. เพราะบิตคอยน์เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับ "หุ้น" จึงเละจากเฟดไปด้วย
เอ็ดเวิร์ด โมยา นักวิเคราะห์อาวุโสจากโอยันดา และไมเคิล โอลิเวอร์ จากโมเมนตัม สตรัคเจอรัล แอนาไลซิส กล่าวกับ CBS ว่า ในช่วงหลังมานี้ คริปโทเคอร์เรนซีจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้น และ Bitcoin นั้นก็แทบจะเป็นกระจกสะท้อน Nasdaq ไปแล้ว โดยในปีนี้ ดัชนีแนสแด็กปรับตัวร่วงไปแล้ว 21% ขณะที่บิตคอยน์ร่วงไป 22%
ปัจจัยหลักที่ฉุดราคาสินทรัพย์เสี่ยงทั้งหุ้นและคริปโทฯ ลงมาก็คือ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เพิ่งขึ้นดอกเบี้ยไปรอบล่าสุด 0.5% แม้เฟดจะส่งสัญญาณว่าจะไม่ขึ้นแรงถึงระดับ 0.75% แต่ก็ไม่ได้ทำให้ตลาดนักลงทุนผ่อนคลายลง
ตรงกันข้าม ตลาดกำลังหวาดระแวงเพราะสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐกำลังเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Rexession) ขึ้น โดยจีดีพีไตรมาสแรกนั้น "ติดลบ" ไปเรียบร้อยแล้ว ท่ามกลางปัญหาเงินเฟ้อที่รุนแรงที่สุดในรอบ 40 ปี ดังนั้น เฟดจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยนั้นถือเป็นการเพิ่มต้นทุนที่ไม่ป็นผลดีต่อตลาดหุ้นและภาคธุรกิจอยู่แล้ว และความเสี่ยงทางเศรษฐกิจก็ยังกระตุ้นให้คนโยกเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นและบิตคอยน์ ออกไปพักในสินทรัพย์ปลอดภัยกันด้วย
คริส ไคลน์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Bitcoin IRA กล่าวว่า ราคาคริปโทฯ ที่ตกลงหนักในช่วงนี้เป็นเพราะคนกลัวปัญหาเศรษฐกิจ จึงโยกเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยงไปหาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือมองหาทางเลือกการลงทุนอื่นๆ เช่น เงินดอลลาร์ และค่อยรอดูสถานการณ์อีกที
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์หลายคนคาดการณ์ว่า ราคาบิตคอยน์จะร่วงลงไปแตะจุดต่ำสุดที่ประมาณ 30,000 หรืออาจถึง 25,000 ดอลลาร์ ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ก่อนที่จะทยอยฟื้นตัวกลับมาได้ภายในปีนี้
2. เพราะบิตคอยน์ "ป้องกันเงินเฟ้อไม่ได้"
ธนาคาร Bank of America (BofA) ได้เปิดเผยบทวิจัยเศรษฐกิจและการเงินว่า "บิตคอยน์ไม่มีศักยภาพในการเป็นตัวป้องกันเงินเฟ้อได้จริง"
เพราะนอกจากเรื่อง "ปริมาณ" ที่จำกัดไว้ที่ 21 ล้านบิตคอยน์แล้ว บิตคอยน์ที่เคยถูกเปรียบเทียบกับทองคำ ในฐานะ Store of Value ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน โดยความเกี่ยวเนื่องระหว่างบิตคอยน์กับทองคำ (XAU) นั้นมีค่าใกล้ระดับศูนย์มานับตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปีที่แล้ว และยังลดลงถึงขั้นติดลบในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา
ในทางตรงกันข้าม แบงก์ออฟอเมริกามองว่า บิตคอยน์เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยงมากกว่า โดยความเกี่ยวเนื่องระหว่างงบิตคอยน์กับดัชนี S&P 500 เมื่อวันที่ 31 ม.ค. ที่ผ่านมา ได้พุ่งทำสถิติสูงสุดตลอดกาลไปแล้วจากการเก็บข้อมูลในช่วง 180 วันที่ผ่านมา เช่นเดียวกับความเกี่ยวเนื่องระหว่างบิตคอยน์กับดัชนี Nasdaq 100 ที่ขึ้นไปสูงสุดทุบสถิติใหม่เช่นกัน
3. เพราะคริปโทฯ ยังไม่เข้าถึงคนในวงกว้างพอ
CBS ระบุว่า ในปีที่แล้วที่ราคาคริปโทฯ พุ่งขึ้นมาก ได้เกิดเหตุการณ์หลายอย่างที่สะท้อนถึงอิทธิพลของคริปโทฯ ที่กำลังแผ่เข้าไปในโลกการเงินและบริการทางการเงินต่างๆ นักลงทุนรายย่อยก็หันมาซื้อคริปโทฯ ทางแคชแอปฯ หรือโรบินฮูดกันมากขึ้น และมีธุรกิจหลายแห่งเริ่มทยอยเปิดรับการชำระด้วยบิตคอยน์ แม้กระทั่งเอลซัลวาดอร์ ที่เปิดรับบิตคอยน์เป็นสกุลเงินตามกฎหมาย
แต่มาในปีนี้ กระแสเริ่มซาลงทั้งในแง่ของการลงทุนและการรับชำระเงินด้วยบิตคอยน์ นักวิเคราะห์จากโอยันดา ระบุว่า มีการพูดกันว่าการตอบรับคริปโทฯ ของมหาชนในวงกว้างนั้น เกิดขึ้นช้ากว่าที่คาดการณ์กันไว้ ซึ่งตอนนี้ สิ่งที่เรากำลังเห็นก็คือ ตลาดคริปโทฯ กำลังอยู่ในโหมด wait-and-see หรือรอดูท่าทีไปก่อน
นอกจากนี้ อีกส่วนหนึ่งยังอาจเป็นเพราะนักลงทุนกำลังรอดูว่าคริปโทฯ จะมีบทบาทใน "เมตาเวิร์ส" ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างไร และรัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐ จะกำกับดูแลอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างไรก่อนด้วย
คริปโทฯ จะเป็นขาลงไปจนถึงเมื่อไร?
ไมเคิล โนโวแกรทซ์ มหาเศรษฐีนักลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี และผู้บริหารบริษัทกาแล็กซี ดิจิทัล โฮลดิงส์ คาดการณ์ว่า ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีแนวโน้มผันผวนและเผชิญกับแรงกดดันต่อไปอีกอย่างน้อยจนถึง 2-3 ไตรมาสข้างหน้า เนื่องจากคริปโทเคอร์เรนซียังคงเคลื่อนไหวตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐ
“ผมคาดว่าคริปโทเคอร์เรนซีจะยังคงปรับตัวตามทิศทางดัชนี Nasdaq ไปจนกว่าจะสามารถปรับตัวได้อย่างเป็นอิสระ สัญชาตญาณของผมบอกว่า ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีจะทรุดตัวลงอีก และภาวะการซื้อขายในตลาดจะผันผวนอย่างมาก และตลาดจะเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากไปอีกอย่างน้อยจนถึง 2-3 ไตรมาสข้างหน้า ก่อนที่นักลงทุนจะตระหนักว่าไม่ควรผูกติดคริปโทเคอร์เรนซีเข้ากับดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ”
ก่อนหน้านี้ โนโวแกรทซ์ให้สัมภาษณ์กับบลูมเบิร์กว่า ราคาบิตคอยน์จะเคลื่อนไหวในกรอบ 30,000 ดอลลาร์ และราคาอีเธอร์เรียมจะอยู่ที่ 2,000 ดอลลาร์ แต่หากดัชนี Nasdaq ดิ่งลงแตะระดับ 11,000 จุด ก็มีความเป็นไปได้ที่ราคาบิตคอยน์จะดิ่งหลุดจากระดับ 30,000 ดอลลาร์
ส่วนในช่วงเช้าวันนี้ ราคาบิตคอยน์ร่วงหลุดจากระดับ 30,000 ดอลลาร์แล้ว เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าการที่เฟด เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะฉุดสภาพคล่องในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งรวมถึงตลาดคริปโทเคอร์เรนซี ขณะที่ดัชนี Nasdaq ร่วงลงเกือบ 4.3% แตะที่ระดับ 11,623.25 จุดเมื่อคืนนี้
การแสดงความเห็นล่าสุดของโนโวแกรทซ์บ่งชี้ว่า เขายังคงมีความระมัดระวังต่อการลงทุนในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี หลังจากที่เขาเคยให้สัมภาษณ์กับบลูมเบิร์กเมื่อวันที่ 16 มี.ค.ปีนี้ว่า ราคาบิตคอยน์มีแนวโน้มปรับตัวในกรอบแคบ ๆ อย่างต่อเนื่องในปีนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
“ผมไม่คิดว่าการซื้อขายบิตคอยน์จะเป็นไปอย่างคึกคัก โดยราคาบิตคอยน์จะเคลื่อนไหวในกรอบ 30,000 – 50,000 ดอลลาร์ในปีนี้ ก่อนหน้านี้บิตคอยน์เคยได้รับปัจจัยบวกจากการที่เฟดใช้นโยบายผ่อนคลายการเงินเพื่อรับมือกับผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่ขณะนี้เฟดเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จึงทำให้นักลงทุนต้องหันมาประเมินความเสี่ยงอีกครั้ง”
“บิตคอยน์เป็นเหมือนกับเรื่องเล่า เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่นำผู้คนมารวมตัวกันเป็นชุมชน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะมีคนใหม่ ๆ เข้ามา หากบ้านของพวกเขากำลังไฟไหม้”