ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันอินเทอร์เน็ตได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คนมากขึ้น และการซื้อของออนไลน์ กลายมาเป็นหนึ่งในเรื่องปกติในชีวิตประจำวันในยุคสังคมดิจิทัล
และแม้ว่าข้อดีของการช้อปปิ้งออนไลน์ คือการได้ประสบการณ์ที่สนุก เพลิดเพลิน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ และให้ความสะดวกสบายกับเรามากแค่ไหน แต่เราทุกคนยังคงต้องคำนึงถึง ’การมีสติ’ ที่จะไม่ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่พยายามจะใช้ช่องว่างทางความรู้มาหลอกลวง คุกคาม และสร้างความไม่ปลอดภัยทั้งทางข้อมูลส่วนตัวและทรัพย์สิน
อีกหนึ่งกลโกงที่พบบ่อย ๆ นอกเหนือจาก ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ ที่หลอกดูดเงินเราผ่านการให้กรอกข้อมูลแบบสอบถาม โดยอ้างว่าเป็นหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เราคลิกSMS และดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน นั้นก็คือการหลอกหล่อ และแฮกข้อมูลเพื่อดูดเงิน ผ่าน ‘บัตรเครดิต’ นั้นเอง
SPOTLIGHT ชวนทุกคนมารู้จัก 6 วิธีการโกงของมิจฉาชีพ และทางเลือกการใช้บัตรเครดิตแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความปลอดภัยให้เหล่านักช้อปออนไลน์
ทั่วโลกยังเผชิญกับการหลอกหลวงทางการเงิน
จากสถิติ The Global State of Scam Report-2022 แสดงให้เห็นการหลอกลวงจากทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการถูกหลอกลวงเงินผ่านช่องทางออนไลน์มากถึง 293 ล้านครั้ง และมีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 55.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นประมาณ 10.2% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการฉ้อโกงด้านการชำระเงินสูงที่สุด
นอกจากนี้ ACI Worldwide ยังพบว่า ประเทศที่ใช้ระบบการเงินแบบโอนและรับเงินได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง (real-time payment) ในอัตราที่สูง มีแนวโน้มที่จะมีภัยการเงินสูงตามไปด้วย
เปิด 5 ประเทศที่มีการทำธุรกรรมแบบ real-time มากที่สุดในปี 65
-
อินเดีย (89.5 พันล้านรายการ) มีอัตราการหลอกลวงสูงเป็นลำดับ 1 หรือ 44.6%
-
บราซิล (29.2 พันล้านรายการ) มีอัตราการหลอกลวงที่ 22.6%
-
จีน (17.6 พันล้านรายการ) มีอัตราการหลอกลวงที่ 10.7%
-
ไทย (16.5 พันล้านรายการ) มีอัตราการหลอกลวงเป็นอันดับ 6 ที่ 25.7%
-
เกาหลีใต้ (8.0 พันล้านรายการ) มีอัตราการหลอกลวงที่ 6.2%
คนไทยโดนมิจฉาชีพหลอกให้ทำธุรกรรมการเงิน ติดอันดับโลก
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ได้เปิดเผยสถิติข้อกังวัลใจถึงการ โจกรรมการทางเงินของคนไทยที่ติดอันดับโลก โดยระบุว่า ประเทศไทยจัดว่าเป็นประเทศลำดับต้นๆในการพัฒนาเทคโนโลยีการเงินอย่างก้าวกระโดด และแม้ว่าเราจะนวัตกรรมที่ทันสมัยมากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะภัยมิจฉาชีพได้ จนประเทศได้ติดลำดับ 6 ของโลกจากการโจรกรรมการทางเงิน
6 กลโกงยอดฮิต ด้วย “บัตรเครดิต”
กองบังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ตอท.) และ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้เปิดเผยถึง 6 กลโกงด้วย “บัตรเครดิด” ยอดฮิต ที่มิจฉาชีพใช้เป็นประจำ ได้แก่ :
1.การหลอกลวงผู้เสียหายเผลอจนให้ข้อมูลบัตรกับมิจฉาชีพ เช่น หลอกให้กรอกข้อมูลทางการเงินผ่านเว็บไซต์ปลอม หรือแอปพลิเคชันปลอม หรือการให้บัตรเครดิตไปกับผู้อื่นเพื่อทำธุรกรรมการเงิน แล้วบุคคลนั้นนำข้อมูลที่ได้ไปใช้แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ
2.หลอกลวงให้ผู้เสียหายกดลิงก์ติดตั้งแอปพลิเคชันปลอม หรือลิงก์โฆษณาต่าง ๆ ที่ฝังมัลแวร์ดักรับข้อมูลของมิจฉาชีพ แล้วนำข้อมูลไปสร้างความเสียหายให้กับเจ้าของบัตรเครดิต
3.คัดลอกข้อมูลจากแถบแม่เหล็กของบัตร โดยเครื่องสกิมเมอร์ขนาดพกพา หรือแฮนด์เฮลด์สกิมเมอร์ (Handheld Skimmer) ซึ่งมิจฉาชีพมักจะถือไว้ในฝ่ามือ และจะนำบัตรของเหยื่อมาดูรหัสปลอดภัยด้านหลังบัตร ขณะเหยื่อเผลอ
4.คัดลอกข้อมูลจากแถบแม่เหล็กของบัตร โดยเครื่องสกิมเมอร์ (Skimmer) ที่ติดตั้งไว้ที่ตู้เอทีเอ็ม
5.ขโมยข้อมูลจากใบบันทึกรายการ (ATM Slip) ตามตู้เอทีเอ็มที่มียอดคงเหลือค่อนข้างมาก โดยนำไปใช้ค้นหาข้อมูลสำคัญในการทำธุรกรรมทางการเงิน
6.ปลอมแปลงเอกสารส่วนตัว หรือใช้เอกสารส่วนตัวของเหยื่อที่ขโมยมา ไปใช้สมัครบัตรเครดิต แล้วนำไปใช้จ่ายในนามของเหยื่อ
ครั้งแรกของไทย กับ ‘บัตรเดรดิตใส ไร้หมายเลข’ ต้านภัยมิจฉาชีพ
ล่าสุด KTC หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้เปิดตัว บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล” (KTC DIGITAL CREDIT CARD) โดยบัตรเครดิตนี้จะเป็น บัตรพลาสติกใสไม่มีหมายเลขบนหน้าบัตรและแถบแม่เหล็ก ไร้กังวลจากการถูกโจรกรรมข้อมูลสำคัญทั้งโลกออนไลน์และออฟไลน์ โดยมี 3 จุดเด่นดังนี้
1.Digital First : สมาชิกสามารถใช้จ่ายได้ทันทีหลังได้รับการอนุมัติกับการใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงการสแกนจ่ายด้วย QR Pay และผูกบัตรฯ กับระบบชำระเงินบนอุปกรณ์ต่างๆ เช่น กูเกิล เพย์ (Google Pay) หรือสวอทช์ เพย์ (Swatch Pay) เป็นต้น
2.Dynamic CVV : ตัวเลขหลังบัตรฯ ที่เป็นรหัสความปลอดภัย จะเปลี่ยนแปลงทุกครั้งที่มีการร้องขอ และสามารถใช้งานได้ภายใน 24 ชั่วโมงต่อการขอ 1 ครั้ง (ไม่จำกัดจำนวนการขอ) เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสมาชิกเมื่อใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์หรือผูกบัตรฯ ที่ร้านค้าออนไลน์ ด้วยเลขหลังบัตร (CVV) เพื่อยืนยันการชำระค่าสินค้าหรือบริการ
3.Numberless Card : บัตรพลาสติกใสโปร่งแสง ไม่มีหมายเลขบนหน้าบัตร และไร้แถบแม่เหล็ก เพื่อเสริมความปลอดภัยเมื่อสมาชิกใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ที่ร้านค้าทั่วไป โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวบนหน้าบัตรฯ
KTC เปิดตัวบัตรเครดิตใส ปิดช่องโหว่ จากข้อกังวลใจ
จากการศึกษาพฤติกรรมสมาชิก KTC พบว่ามีการใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์สูงขึ้นทุกปี และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีสัดส่วนจำนวนรายการใช้จ่ายออนไลน์ทั้งสิ้นประมาณ 55% ของยอดรายการใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ทั้งพอร์ต
สิ่งที่เป็นกังวลที่สุดของสมาชิก นั้นก็คือเรื่องความปลอดภัยในการใช้บัตรฯ ที่สมาชิกต้องกรอกข้อมูลสำคัญบนหน้าบัตรฯ ให้กับร้านค้าออนไลน์ หรือเมื่อต้องยื่นบัตรฯ ให้กับร้านค้ากรณีชำระค่าสินค้าและบริการ เพื่อให้สมาชิกผู้ถือบัตรฯ รู้สึกปลอดภัยเมื่อมีการใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ โดยตั้งเป้าจำนวนผู้ถือ “บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล” รวม 100,000 ใบภายในสิ้นปีนี้
สำหรับการเปิดตัวในครั้งนี้ ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับสมาชิก ด้วยจุดเด่นความเป็น Digital First จึงสามารถตอบโจทย์สมาชิกที่นิยมใช้จ่ายออนไลน์ด้วยความปลอดภัยขั้นสุด แต่หากสมาชิกต้องการบัตรพลาสติกก็สามารถแสดงความประสงค์ขอรับบัตรฯ ผ่านแอป KTC Mobile ได้ด้วยตนเอง
ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่โหลดแอป KTC Mobile ทั้งสิ้น ประมาณ 2.2 ล้านราย คิดเป็น 88% ของจำนวนสมาชิกทั้งพอร์ต สำหรับสมาชิกปัจจุบัน เพียงกดปุ่มสมัครบัตรฯ และเมื่อได้รับการอนุมัติ ก็สามารถใช้จ่ายทางออนไลน์ได้ทันที
โดยสมาชิกสามารถเลือกสมัคร “บัตรเครดิต เคทีซี ดิจิทัล แพลทินัม วีซ่า” (KTC DIGITAL PLATINUM VISA) หรือ “บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล แพลทินัม มาสเตอร์การ์ด” (KTC DIGITAL PLATINUM MASTERCARD) ได้ตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 2567 เป็นต้นไป
อ้างอิง : ธนาคารเเห่งประเทศไทย
กองบังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี