การบินไทยสายการบินแห่งชาติ ที่ประสบปัญหาสถานะทางการเงิน จนต้องเข้าแผนฟื้นฟูฯ ได้ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูฯ มากว่า 2 ปี สถานการณ์ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จนล่าสุดได้มีแต่งตั้ง CEO คนใหม่ เมื่อวันที่ 1 ก.พ.66 วันนี้ เป็นการประกาศวิสัยทัศน์ ครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง
“วิสัยทัศน์ของผมระยะยาว ผมต้องการนำการบินไทยไปสู่การเป็นสายการบินชั้นนำของโลกอีกครั้งหนึ่ง และมีความเป็นไปได้ เพราะที่ผ่าน 2 ปี เรามีการเปลี่ยนแปลงเป็นไปตามแผน ระยะกลาง-สั้น เราจะให้น้ำหนักในเรื่องการเปลี่ยนแปลงมายเซ็ท กระบวนการทำงานของพนักงานภายในมีความเป็นเอกชนมากขึ้น มี Speed มากขึ้น ทำให้เกิด productivuty มากขึ้น ทำใ่ห้เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของการบินไทยในอดีต” นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (THAI) คนใหม่ กล่าวกับ Spotlight
“ ในอดีตคนจะเรียกการบินไทยว่า ‘ป้าม่วง’ ต่อไป ผมคิดว่า คำว่า ‘ป้าม่วง’ คงไม่มี ต่อไปอาจจะเป็น ‘น้องม่วง’ “ CEO THAI กล่าว
สำหรับแผนฟื้นฟูกิจการของการบินไทยจะมีการแปลงหนี้เป็นทุน และการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม คาดว่าจะอยู่ในระยะเวลาใกล้เคียงกัน
โดยหากกระทรวงการคลังใช้สิทธิแปลงหนี้เป็นทุนและซื้อหุ้นเพิ่มทุน จะทำให้มีสัดส่วนถือในการบินไทย 33% ส่วนหน่วยงานรัฐอื่นจะมี 10% ซึ่งขณะนี้แผนฟื้นฟูได้ดำเนินการมาแล้ว 60-70%
ทั้งนี้ เงื่อนไขการออกจากแผนฟื้นฟูฯ บริษัทจะต้องมี EBITDA หักค่าเช่า และเงินสดมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท
“ ตามแผนเดิมจะออกจากแผนภายในปี 2567 ด้วยสถานการณ์การบินไทยเอง เราคิดว่า เราน่าจะออกจากแผนฟื้นฟูฯ ก่อนปี 2567 หลังจากที่ออกจากแผนก็มีกระบวนการไฟลิ่งตลาดหลักทรัพย์อีกไม่นานก็จะสามารถเทรดได้”
ณ ตั้งแต่ 24 พ.ค.63 พอภาครัฐขายหุ้นไปบางส่วน ทำให้การบินไทยไม่มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจแล้ว ถ้าดำเนินการเพิ่มทุน และกระทรวงการคลังใช้สิทธิเพิ่มทุน กระทรวงการคลังจะถือหุ้น 33% บวกกับหน่วยงานของรัฐอื่นๆ อีก 10% ก็จะเป็น 43% เพราะฉะนั้น การบินไทยก็จะไม่กลับไปเป็นรัฐวิสาหกิจ
“ ในแผนพื้นฟูฯ ได้เขียนไว้ว่า ผู้บริหารแผนฟื้นฟูฯ มีหน้าที่ ที่จะไม่ทำให้การบินไทยกลับไปเป็นรัฐวิสาหกิจอีก ซึ่งผมคาดว่า สังคมไทย หรือผู้มีส่วนได้เสีย ก็คงไม่อยากให้การบินไทยกลับไปเป็นรัฐวิสาหกิจอีก ซึ่งเราก็วางแนวทางให้เป็นไปทางนั้นอยู่แล้ว”
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ CEO การบินไทย คาดว่า จะสามารถออกจากแผนฟื้นฟูได้เร็วขึ้นนั้นเนื่องจากผลประกอบการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายหลังการเปิดประเทศเมื่อกลางปี 65 และจีนกลับมาเดินทางได้เร็วกว่าคาด ทำให้ดีมานด์การเดินทางเพิ่มขึ้นมาก
ทั้งนี้ รายได้ปี 2566 คาดว่าจะเติบโตได้กว่า 40%-50% จากปีก่อนที่คาดว่าจะมีรายได้กว่า 90,000 ล้านบาท และยังคาดว่าว่ากำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ปีนี้จะสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท จากที่คาดว่าปีนี้จะมีอัตราบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ยที่ 80% จากปีก่อน 80-85% ตัวเลขที่ลดลง เนื่องจากจำนวนเครื่องบินในปีที่ผ่านมาจะน้อยกว่าปีนี้
ขณะนี้อยู่ระหว่างการตัดสินใจในเรื่องของวงเงินกู้ 2.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น term loan 12,500 ล้านบาท และอีก 12,500 ล้านบาท ที่จะใช้เป็นทุนหมุนเวียนว่ามีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับสถาบันการเงิน ซึ่งหากผลประกอบการดีขึ้นก็มีความเป็นไปได้ว่าไม่จำเป็นต้องใช้วงเงินกู้ทั้งหมด และขณะนี้การบินไทยมีกระแสเงินสดในมือถึงกว่า 30,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 6,000 ล้านบาท ปี 64
“ปี 2565 ผลการดำเนินการดีกว่าแผนที่เราตั้งไว้อย่างมีนัยสำคัญ ปีนี้ ม.ค.ดีกว่าแผนที่ตั้งไว้ ทุกด้านไม่ว่าจะเป็นกระแสเงินสด ผลประกอบการ กำไร ขาดทุน เดือนม.ค.66 คงไม่ขาดทุนแล้ว ปีที่แล้วก็ไม่ขาดทุนมาหลายเดือนแล้ว”
สำหรับอุตสาหกรรมการบินในปีนี้ กลับมาอย่างรวดเร็ว เรามีแผนจัดหาเครื่องบิน คุยกับผู้ให้เช่าเครื่องบิน ได้ข้อสรุปการจัดหาเครื่องบิน ในรูปแบบการเช่า เพื่อมาเติมกำลังการผลิตให้กับการบินไทย เพื่อเติบกำลังการผลิตให้กับการบินไทย เพื่อไม่ให้ส่วนแบ่งการตลาดหายไป และให้การบินไทยเติบโต
ปีนี้ได้จัดหาเครื่องบินในรูปแบบเช่า เป็นเครื่องบิน A350 จำนวน 6 ลำ จะเป็นลักษณะการทยอยรับมอบ เริ่มเดือนเม.ย. พ.ค.และกลางปี อย่างต่อเนื่องจนครบ 6 ลำ
นอกจากนี้ อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ให้เช่าเครื่องบินอีก 3 ลำ ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่หากได้ข้อสรุปแล้ว คาดว่าจะรับมอบได้ในช่วงสิ้นปี 66 หรืออย่างช้าต้นปี 67 ทั้งปีนี้แน่ๆ 6 ลำ ซึ่งในขณะนี้ได้นำเครื่องบินเดิมกลับมาแล้ว จำนวน 8 ลำ เป็นแอร์บัส A330 จำนวน 3 ลำ และโบอิ้ง 777-200ER อีกจำนวน 5 ลำ เอากลับเป็นเพียงระยะสั้น ระหว่างที่การบินไทยรอระหว่างการจัดหาเครื่องบิน ประมาณ 3 ปี ที่จะเก็บเครื่องบิน 2 ฝูงนี้ไว้ หลังจากนี้ก็จะไม่ใช้
ยุทธศาสตร์ของการบินไทย คือ จะพยายามลดแบบของเครื่องบินให้น้อยที่สุด เพราะจะกระทบต่อต้นทุนต่อหน่วย
ปัจจุบัน จะมีฝูงบิน 49 ลำ และจะมีการส่งมอบปีนี้อีก 6 ลำเป็น 55 ลำ ถ้ารวมที่อยู่ระหว่างการเจรจาอีก 3 ลำ ก็จะเป็น 58 ลำ ไม่นับเครื่องบินของสายการบินไทยสไมล์อีก 20 ลำ ซึ่งถ้ารวมจะเป็น 78 ลำ ทำให้คาดว่า ผลประกอบการปี 66 นี้ ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนค่อนข้างมาก เพราะจำนวนที่นั่ง (capacity) เพิ่มขึ้น 50%
ปัจจุบัน THAI มีสัดส่วนรายได้จากตลาดยุโรป (รวมออสเตรเลีย) 40% เอเชียเหนือ 30-35% ซึ่งจากแผนงานในปีนี้ที่จะเพิ่มความถี่ขึ้นก็คาดว่าสัดส่วนจะเพิ่มมากกว่า 40% และเอเชียใต้ อินเดีย, บังคลาเทศ อีก 10%
“เครื่องบินที่เพิ่มขึ้น ต้องไปวางแผนเส้นทางบิน เราจะนำไปเพิ่งเริ่มเปิดจีน ในวันที่ 1 มี.ค.66 จำนวน 14 เที่ยวบิน/สัปดาห์ ยกตัวอย่าง ปักกิ่ง 1 มี.ค.66 เราเปิด 3 เที่ยวบิน/สัปดาห์ จากเดิม 2 เที่ยวบิน/วัน เพราะฉะนั้น มีพื้นที่อีกเยอะที่จะขยายตลาดจีนได้ ที่เราจะเอาเครื่องบินใหม่ไปบิน เส้นทางที่ 2 คือ ญี่ปุ่น ก็ยังไม่ได้บินเต็มที่ ยุโรปก็ไม่ได้บินเต็มที่ ยังมีพื้นที่ให้บินอีกเยอะไม่พอด้วยซ้ำที่เราเช่าดำเนินการมา”
CEO การบินไทย ยังกล่าวถึงการลดต้นทุนว่า บริษัทยังเดินหน้าแผนขายเครื่องบินต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีรออยู่ 22 ลำ ได้แก่ โบอิ้ง 777-300 จำนวน 6 ลำ โบอิ้ง 777-200 จำนวน 6 ลำ ซึ่งทั้ง 2 รุ่นมีอายุใช้งานมากกว่า 20 ปี , แอร์บัส A340 จำนวน 4 ลำ อายุเฉลี่ย 17 ปี และ แอร์บัส A380 จำนวน 6 ลำ อายุใช้งาน 10-12 ปี
พร้อมกันนี้ การบินไทยก็อยู่ระหว่างการทำแผนจัดหาเครื่องบินระยะยาวรองรับการดำเนินธุรกิจในช่วงปี 69-70 คาดว่าจะได้ข้อสรุปกลางปี 66
ขณะที่โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ที่อู่ตะเภานั้น การบินไทยจะนำกลับมาศึกษาความเป็นไปได้หลังอุตสาหกรรมการบินเปลี่ยนไปจากสถานการณ์การระบาดโควิด โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปไตรมาส 3/66 และจะดึงพันธมิตรร่วมลงทุนด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทเคยดึงแอร์บัสเข้ามาร่วมลงทุนแต่ยังไม่สามารถเดินหน้าได้
ต่อจากนี้ การบินไทย สายการบินแห่งชาติ จะกลับมาขึ้นมาอีกครั้ง มุ่งหน้าสู่สายการบินชั้นนำของเอเซีย และโลกได้ ซึ่งเราคงต้องเอาใจช่วย เป็นกำลังใจให้การบินไทยสามารถฝ่าวิกฤตและกลับมายืนขึ้นอีกครั้ง อย่างสงาผ่าเผยอีกครั้ง