ธุรกิจการตลาด

ปิดคดี "ราเกซ สักเสนา" ศาลฎีกายืนจำคุก 335 ปี ชดใช้กว่า 2,500 ล้านบาท

12 ก.ย. 65
ปิดคดี "ราเกซ สักเสนา" ศาลฎีกายืนจำคุก 335 ปี ชดใช้กว่า 2,500 ล้านบาท

ปิดฉาก 26 ปี มหากาพย์โกงแบงก์บีบีซีของพ่อมดการเงินเมืองไทย "ราเกซ สักเสนา" ศาลฎีกาพิพากษายืนให้จำคุก 335 ปี ชดใช้กว่า 2,500 ล้านบาท ปรับอีก 33 ล้านบาท   

   

นับเป็นหนึ่งในมหากาพย์คดีฉ้อโกงที่ยาวนานที่สุดคดีหนึ่งของเมืองไทย ซึ่งสั่นสะเทือนยุค "วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง" มาแล้ว กับคดีที่นายราเกซ สักเสนา ทุจริตโกงเงินธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ (บีบีซี) จนธนาคารล้มละลาย ราเกซถูกฟ้องมาตั้งแต่ปี 2539 มีการหลบหนีข้ามประเทศไปแคนาดา จนถูกจับกุมตัวได้ ถูกส่งตัวในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน สู้กันมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และล่าสุดกับศาลฎีกา ซึ่งถือเป็นที่สิ้นสุดในวันนี้

เมื่อวันที่ 12 ก.ย ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง ศาลได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาคดีที่ 2554-2556/2565 ที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้องนายราเกซ สักเสนา อายุ 70 ปี นักการเงินการธนาคาร สัญชาติอินเดีย เป็นจำเลยฐานกระทำผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 รวม 3 สำนวน โดยเอาสำนวนสามสำนวนมารวมและสืบพยานรวมกันทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ และมีการอ่านคำพิพากษาผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังเรือนจำที่คุมขังนายราเกซ

 

ฝ่ายโจทก์ฟ้องว่าอะไร

ฝ่ายโจทก์ฟ้องว่า ระหว่างปี 2537-2539 จำเลยซึ่งเป็นที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ จำกัด (มหาชน) หรือบีบีซี กับพวก ให้การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่บีบีซี (เสียชีวิตไปแล้ว) ซึ่งร่วมกันโดยทุจริตใช้บัตรอนุมัติให้สินเชื่อเกินบัญชีเกินกว่า 30 ล้านบาท กับเอกชนได้แก่ บริษัท สมประสงค์ อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และเอกชนอื่นร่วม 10 แห่ง

การอนุมัติดังกล่าวไม่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการสินเชื่อ หรือคณะกรรมการบริหารของธนาคารก่อน และได้อนุมัติโดยผู้ขอสินเชื่อไม่ได้จัดให้มีหลักประกัน ตลอดจนไม่มีการวิเคราะห์ฐานะของลูกหนี้และความสามารถในการชำระหนี้คืน อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งธนาคารแห่งประเทศไทย และจำเลยกับพวกยังได้ร่วมกันแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ร่วมกันเบียดบังเอาเงินของธนาคารผู้เสียหายซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายเกริกเกียรติไปเป็นของจำเลยกับพวกและนายเกริกเกียรติโดยทุจริต  

ภายหลังการกระทำความผิด จำเลยกับพวกดังกล่าวได้ชดใช้เงินให้แก่ธนาคารผู้เสียหายบางส่วน โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 722,136,005.03 บาท และจำนวน 1,427,195,799.92 บาท กับจำนวน 353,363,966 บาท (รวมแล้วประมาณ 2,500 ล้านบาท) แก่ธนาคารผู้เสียหายด้วย

ศาลฎีกาปิดคดี ราเกซ สักเสนา

 

ทั้ง 3 ศาล พิพากษาอย่างไร

ในคดีนี้ ศาลชั้นต้นเคยตัดสินพิพากษาแล้วว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ มาตรา 307, 308, 311 ประกอบมาตรา 315 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้ลงโทษฐานช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่กรรมการเบียดบังเอาทรัพย์เป็นของตนหรือของบุคคลที่สามโดยทุจริต การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน 

ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทง ความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 5 ปี และปรับกระทงละ 500,000 บาท ในสำนวนแรก 60 กระทง ในสำนวนที่สอง 6 กระทง  ในสำนวนที่สาม 1 กระทง 

รวมแล้ว 67 กระทง เป็นจำคุก 335 ปี และปรับ 33,500,000 บาท (โทษจำคุกจริงไม่เกิน 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2)) ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,29/1, 30 และให้จำเลยร่วมกันคืนโดยใช้เงิน ในสำนวนคดีแรกจำนวน 722,136,005.03 บาท ในสำนวนที่สองจำนวน 1,427,195,799.92 บาท และในสำนวนที่สามจำนวน 353,363,966 บาท แก่ผู้เสียหาย (รวม 3 สำนวนเป็นเงินอย่างน้อย 2,502,695,770 บาท) และนับโทษจำเลยต่อจากโทษคดีอาญา หมายเลขแดงที่ 1817/2555ของศาลชั้นต้น 

จําเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยได้ยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษา

คำพิพากษาชั้นฎีกา เห็นว่า "พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมารับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ที่ศาลล่างพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาพิพากษายืน โดยศาลได้ออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดตามผลคำพิพากษาของศาลฎีกา"

 

"ราเกซ สักเสนา" คือใคร?

ข้อมูลจากวิกิพีเดีย ระบุว่า นายราเกซ สักเสนา เกิดที่เมืองอินดอร์ รัฐมัธยประเทศ จบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวรรณกรรม มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เดินทางเข้ามาในประเทศไทยหลังปี พ.ศ. 2520 ทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการเงินและการลงทุน และที่ปรึกษาของหลายบริษัท  ได้เป็นที่ปรึกษาของธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 และถูกดำเนินคดีข้อหายักยอกทรัพย์เป็นเงิน 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อ พ.ศ. 2539 หลังการล้มละลายของธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ ในปี พ.ศ. 2538 และออกหมายจับเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2539

นายราเกซ เดินทางหลบหนีออกจากประเทศไทย ไปอาศัยอยู่ที่เมืองวิสต์เลอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา และถูกจับกุมโดยกองตำรวจม้าหลวงแห่งแคนาดา เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 ทางการไทยได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่แคนาดา เพื่อนำตัวนายราเกซเป็นผู้ร้ายข้ามแดน กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย แต่นายราเกซได้ให้ทนายความยื่นคัดค้าน โดยอ้างว่าถ้าถูกส่งกลับประเทศไทยอาจถูกสังหารหรือถูกขังในคุกอย่างโหดร้ายทารุณ

ศาลฎีกาแคนาดายกคำร้องคัดค้านของนายราเกซเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2551 เป็นผลให้ทางการแคนาดาต้องส่งตัวนายราเกซ สักเสนา ให้ทางการไทยตามกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนในที่สุด ต่อมาในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2555 ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาให้จำคุกนายราเกซ เป็นเวลา 10 ปี ปรับ 1 ล้านบาท หาก จำเลย ไม่ชำระค่าปรับให้กักขัง 2 ปี และให้ จำเลย ชดใช้ค่าเสียหายให้กับ ธนาคาร บีบีซี เป็นจำนวนเงิน 1,132,000,000 บาท

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT