ตอนนี้ใครก็ฮือฮากันเรื่องที่รัฐบาลอยากจะจัดระเบียบ เข้าไปควบคุมต้นทุนที่โรงพยาบาลเอกชนเพื่อหวังลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน
เป็นเรื่องใหญ่ที่หลายคนเฝ้ารอ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลพุ่งสูงขึ้นจนน่ากลัว จากรายงานของ McKinsey & Company คาดว่าประเทศไทยมีมีอัตราเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลสูง 14.2% ในปี 2568 นี้ ซึ่งแตกต่างจากค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 7.8% เกือบเท่าตัว
เมื่อเวลาผ่านมาสักพัก เสียงเริ่มแผ่วลงบ้าง เพราะเรื่องนี้มีความซับซ้อน ตัวละครมากมาย มีขอบข่ายอำนาจที่ ‘ทำได้-ทำไม่ได้’ ของกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
คำถามที่ชาวบ้านอย่างเราๆคิดคือ โรงพยาบาลเอกชนหากำไรเกินควรจากความเจ็บป่วยของผู้คนหรือที่เรามักพูดว่า “ทำนาบนหลังคน” อย่างนั้นจริงๆหรือเปล่า? หรือเป็นเพราะแค่เราไม่เข้าใจโครงสร้างต้นทุนของสิ่งที่เป็นอยู่กันแน่?
ข้อมูลที่น่าเชื่อถือจะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างเป็นธรรม
หากดูผลประกอบการรอบครึ่งปี 2568 ของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ยังไปได้ดี จากงบการเงินที่ส่งให้กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยของโรงพยาบาลชั้นนำ 3 แห่งทั้งโรงพยาบาลกรุงเทพ โดย บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS มีสินทรัพย์รวมกว่า 1.51 แสนล้านบาท รายได้รวมมากกว่า 5.56 หมื่นล้านบาท มีกำไรสุทธิ 7.8 พันล้านบาท และอัตรากำไรสุทธิ 14.57%
ขณะที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โดย บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH มีสินทรัพย์รวมกว่า 3.37 หมื่นล้านบาท รายได้รวม 1.24 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิเกือบ 3.6 พันล้านบาท และ อัตรากำไรสุทธิ อยู่ที่ 29.16%
ส่วนโรงพยาบาลเกษมราษฏร์ ภายใต้บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH มีสินทรัพย์รวมกว่า 1.74 หมื่นล้านบาท รายได้รวมเกือบ 6 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 709 ล้านบาท และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 12.69%
จะเห็นได้ว่าผลประกอบการของเครือโรงพยาบาลขนาดใหญ่กลุ่มนี้ค่อนข้างดี มีอัตรากำไรสุทธิซึ่งสะท้อนความสามารถในการควบคุมต้นทุนน่าสนใจ โดยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ที่มีภาพลักษณ์ที่ดีสำหรับกลุ่มลูกค้าระดับบนและชาวต่างชาติกำลังซื้อสูง มีอัตรากำไรสุทธิสูงที่สุด แตกต่างจากของโรงพยาลกรุงเทพที่อยู่ใกล้เคียงกับโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ เนื่องจากมีสาขาจำนวนมาก มีต้นทุนและบุคลากรที่ต้องบริหารจัดการมากกว่าหลายเท่าตัว
สิ่งที่น่าสนใจคือ อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Asset : ROA) ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์อยู่ที่ 28.24% โรงพยาบาลกรุงเทพอยู่ที่ 14.37% และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์อยู่ที่ 11.32% ซึ่งสะท้อนว่าธุรกิจใช้สินทรัพย์ทั้งหมดเพื่อสร้างกำไรสุทธิได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งทั้งสามรายสูงกว่าระดับ 10% ซึ่งตีความได้ง่ายๆว่า บริหารทรัพยากรได้มีประสิทธิภาพดี
ธุรกิจโรงพยาบาลลงทุนสูง มีสินทรัพย์มาก (Asset-Intensive) ทั้งอาคาร เตียงผู้ป่วย เครื่องไม้เครื่องมือ รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและระบบไอทีที่ครอบคลุม หากขยายสาขาใหม่เท่ากับมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นจากการลงทุน ROA มักจะลดลง แต่เมื่อเวลาผ่านไปเมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่ บริหารทรัพยากรได้ดีขึ้น ระบบหรือเทคโนโลยีที่ลงทุนไปก่อนหน้าเริ่มช่วยลดต้นทุนการปฏิบัติงานได้ชัดเจนขึ้น รวมทั้งการใช้บริการจากผู้ป่วยต่างชาติและผู้มีประกันสุขภาพเอกชน ROA ก็จะปรับเพิ่มขึ้น ดังเช่นที่เราเห็นจากของทั้งสามโรงพยาบาลนี่เอง
โรงพยาบาลกรุงเทพชูจุดขายเรื่องการเป็นเครือโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุด มีหลายแบรนด์ครอบคลุมทั่วประเทศ บริการครบวงจร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ยังยึดกลุ่มลูกค้าศักยภาพสูงเป็นฐานที่มั่นสำคัญ รองรับผู้ป่วยต่างชาติและการขยายตัวของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) ส่วนโรงพยาบาลเกษมราษฎร์เป็นเครือโรงพยาบาลขนาดกลางที่มีเครือข่ายจำนวนมากและเน้นกลยุทธ์รองรับผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคมที่มีฐานขนาดใหญ่
แต่ละแบรนด์โรงพยาบาลสะท้อนส่วนตลาด(Segment) ของลูกค้าตัวเองได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ระดับกลางถึงล่าง ระดับกลาง ไปจนถึงระดับบน
ปัจจุบันการแข่งขันระหว่างกลุ่มโรงพยาบาลเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแต่กลุ่มทุนเอกชนจะแข่งขันกันเอง ตอนนี้บรรดาโรงเรียนแพทย์ที่มีความแข็งแกร่งด้านความน่าเชื่อถือ เครื่องมือล้ำสมัย รวมทั้งองค์ความรู้จาก ‘อาจารย์แพทย์’ ก็หันมาสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการทำ ‘โรงพยาบาลพรีเมี่ยม’ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ (SiPH) โดยโรงพยาบาลศิริราช ศูนย์การแพทย์รามาพรีเมี่ยม โดยโรงพยาบาลรามาธิบดี หรือคลินิกนวัตบริบาลระบบบริการพิเศษ โดยโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เองก็ตาม
หมอเก่ง เชื่อถือได้ ราคาถูกกว่าหรือเท่ากับโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ แถมเงินค่ารักษายังสนับสนุนค่าใช้จ่ายของโรงเรียนแพทย์อีกต่างหาก
ทางเลือก(ที่ต้องจ่ายเงิน) มีเต็มไปหมด
ทั้งหมดที่พูดมานี้คือเกมของระบบที่ประชาชนชำระเงินค่ารักษาพยาบาลเอง หรือ เบิกจ่ายจากระบบประกันสุขภาพทั้งสิ้น เป็นเค้กก้อนใหญ่ของกลุ่มคนที่สูงวัยมากขึ้น รายได้ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจและประชากรหดตัว
ดังนั้นจะมาบอกว่าทำโรงพยาบาลเอกชนนั้นง่าย หรือ โรงพยาบาลเอกชนที่ไหนก็เหมือนกันไม่ได้
ที่ผ่านมาเราเห็นความพยายามของทางการในการจะเข้าไปควบคุมราคาเวชภัณฑ์และสิ่งละอันพันละน้อยของทางโรงพยาบาลเอกชน เกิดการแชร์ข้อมูลราคายาประเภทเภทเดียวกันที่แตกต่างออกไปในแต่ละโรงพยาบาล ทั้งแต่เม็ดละไม่ถึง 1 บาทไปจนถึงเม็ดละเกือบ 60 บาท ซึ่งเป็นเพียงฉากหน้าที่เห็นโดยที่เราไม่รู้ว่าต้นทุนของแต่ละแห่งแตกต่างกันมากน้อยขนาดไหน
ดร.ธนพล สุขเวสโก ผู้ชำนาญการประจำ กมธ. สาธารณสุข วุฒิสภา มองเรื่องนี้ว่าค่ารักษาพยาบาลของประเทศไทยเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของโลกนั้นไม่ได้สูงอย่างที่พูดกันทั้งที่ระบบสาธารณสุขของไทยถือเป็นระดับ Top 10 ของโลกด้วยซ้ำ กลุ่มโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำส่วนใหญ่จะเน้นรับรองผู้ป่วยชาวต่างชาติ ซึ่งมาพร้อมการบริการที่ดี คุณภาพการรักษาที่สูง จึงทำให้ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นทุกปีในอัตราเฉลี่ย 8–10% ต่อปีตามต้นทุนของโรงพยาบาล
“เทคโนโลยีทางการแพทย์ตอนนี้ก็ล้ำขึ้น ต้องใช้บุคลากรเฉพาะทาง ซึ่งมีต้นทุนสูง ซึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ใช้ล้วนถูกผลิตมาจากต่างประเทศ เช่น หุ่นยนต์ผ่าตัด เครื่องฉายรังสี เครื่องเอ็กซเรย์ MRI หรือ CT Scan ล้วนทำให้ราคาขยับขึ้นสูงขึ้นไปมาก หากนำไปเทียบค่าเฉลี่ยทั้งโลกก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว เราควรไปเทียบกับโรงพยาบาลเอกชนในระดับแนวหน้าของโลกแบบที่เรามีมากกว่าถึงจะถูกต้องครับ ” ดร.ธนพล กล่าว
ส่วนเรื่องที่ทางภาครัฐจะเข้าไปควบคุมราคานั้น ดร.ธนพลอธิบายว่าทั้งกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุขต่างมีอำนาจ “บางส่วน” ในการควบคุมราคาแต่ไม่ครอบคลุมทั้งหมด ดังนั้น ถึงจะมีอำนาจตามกฎหมายจริง แต่ในทางปฏิบัติแล้ว การควบคุมราคาค่ารักษาและค่ายาในโรงพยาบาลเอกชนยังทำได้จำกัดมาก โดยกระทรวงพาณิชย์มีอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ซึ่งให้อำนาจแก่คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ในการกำหนดรายการสินค้าและบริการควบคุมโดยออกกฎเกณฑ์ให้ต้องเปิดเผยราคาอย่างโปร่งใส แต่กระทรวงพาณิชย์ ไม่มีอำนาจสั่งลดราคา หรือกำหนดเพดานราคาได้
ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขมีอำนาจในการกำกับดูแลสถานพยาบาลโดยตรงตาม พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 โดยมีหน้าที่หลักในการดูแลคุณภาพและมาตรฐานการรักษาพยาบาล เน้นการควบคุมมาตรฐานการให้บริการและกำกับดูแลการเรียกเก็บค่าบริการของสถานพยาบาลให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่ไม่สามารถตั้งราคากลางหรือบังคับราคากับโรงพยาบาลเอกชนได้ การควบคุมราคาในโรงพยาบาลเอกชนจึงเป็นประเด็นที่ท้าทาย เนื่องจากต้นทุนของแต่ละโรงพยาบาลนั้นแตกต่างกัน
อย่างที่สหรัฐอเมริกา ราคาค่ารักษาพยาบาลและค่ายาเปิดเผยแบบเปรียบเทียบได้ (Hospital Price Trnasperency Rule) ทำให้โรงพยาบาลเอกชนทุกแห่งต้องรายงานราคาเพื่อจัดทำเป็นชุดข้อมูลมาตรฐาน ซึ่งถ้าบ้านเรามีแพลตฟอร์มกลางที่เปิดให้ประชาชนเข้าถึงเพื่อค้นหาและเปรียบเียบได้อย่างโปร่งใส โรงพยาบาลต่างๆก็จะไม่กล้าตั้งราคาสูงเกินจริงเพราะถูกเปรียบเทียบได้ทันที
แต่เรื่องดังกล่าวยังไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย
“ทางออกไม่ได้อยู่ที่การบังคับราคาเพียงอย่างเดียวนะครับ แต่อยู่ที่การทำให้ตลาดโปร่งใส แข่งขันได้จริง และประชาชนมีอำนาจเลือกพร้อมกับยกระดับบริการของภาครัฐให้เป็นตัวเลือกที่ดีพอ หากโรงพยาบาลรัฐให้บริการคุณภาพดี รวดเร็ว มีระบบนัดออนไลน์หรือโทรเวชกรรม( Telemedicine) ได้จริง แรงกดดันของประชาชนที่ต้องหนีไป รพ.เอกชนก็จะลดลง” ดร.ธนพลกล่าวทิ้งท้าย
นี่ไม่ใช่เรื่องไก่กับไข่ ไม่ใช่เรื่องใครถูกใครผิด และเป็นหน้าที่ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคนที่ต้องช่วยกันต่อจิ๊กซอว์ให้ภาพสมบูรณ์สู่การเป็นศูนย์กลางการแพทย์ระดับโลก โดยไม่ทิ้งคนไทยไว้ข้างหลังโดยเด็ดขาด
นักข่าวเศรษฐกิจและผู้ก่อตั้งเพจ BizKlass