แบรนด์ Nose Tea จากแบรนด์สกินแคร์ที่สร้างชื่อเสียงจาก ‘แผ่นลอกสิวเสี้ยน’ มาสู่เครื่องดื่มชานมไข่มุกที่มีเจ้าความรักฟองชีสอยู่ด้านบน ทั้ง2 ผลิตภัณฑ์มีโลโก้เดียวกัน!
ซึ่งรู้หรือไม่ว่า ‘โลโก้จมูกเขียว’ นั้นเกิดขึ้นจากความคิดที่อยากประหยัดค่าออกแบบโลโก้และค่า marketing เพราะทั้งเครื่องดื่มและสกินแคร์ ก็มีเจ้าของเป็นคนคนเดียวกัน แล้วทำไมจะใช้โลโก้เดียวกันไม่ได้ ?
จากจุดเริ่มต้นเรื่องของโลโก้ทีสร้างความแปลกใหม่ สร้างความ ‘เอ๊ะ’ ให้ผู้บริโภค สู่กลยุทธ์ตะโกนเล่าเรื่องแบรนด์สร้างไวรัลชั่วค่ำคืนใน TikTok และวันนี้ Nose Tea ขึ้นแท่นเป็นแบรนด์ชานมโปรดของใครหลายคน สร้างรายได้กว่า 297 ล้านบาทในปี 67 พร้อมตั้งเป้าทะยานฝันสู่การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯและอยากโกอินเตอร์
บทความนี้ SPOTLIGHT จะพาทุกคนมารู้จักกับแบรนด์ Nose Tea จากแผ่นลอกสิวเสี้ยน สู่ ‘ชาจมูกเขียว’ ร้อยล้านได้ โดยเราได้มีโอกาสพูดคุยสุด exclusive กับ คุณกฤต - ธนกฤต ศรีพฤษมาศ Chief Operation Officer ของแบรนด์ Nose Tea
ก่อนที่จะมาเป็นแบรนด์เครื่องดื่มที่เรารู้จักกัน Nose Tea เกิดขึ้นจากแบรนด์สกินแคร์ แผ่นลอกสิวเสี้ยน ที่เราหาซื้อได้ตาม 7-11 นั่นแหละ
คุณกฤต ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า คุณไผ่หรือภรรยาของตน เป็นคนที่ชื่นชอบดื่มชานมอยู่แล้ว ก็เลยมีไอเดียอยากสร้างแบรนด์ชานมเป็นของตัวเอง ซึ่งตอนนั้นเห็นกระแสชาชีสในต่างประเทศ แต่สำหรับประเทศไทย ณ ตอนนั้นยังไม่ค่อยเห็นแบรนด์ไหนทำ หรือพูดง่ายๆว่ายังไม่มีแบรนด์ที่เป็น Top of mind ของผู้บริโภค เลยรู้สึกว่าเราน่าจะสามารถเข้ามาเติมเต็มตลาดนี้ได้ โดยแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน คุณไผ่ทำเรื่องการพัฒนาสูตรเมนู ส่วนคุณกฤตทำเรื่องแบรนด์
ส่วนเรื่องโลโก้ คุณกฤต ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังต่อว่า “ตอนนั้นเราคิดแค่ว่าน่าจะดีถ้าเราเอาโลโก้จมูกแผ่นลอกสิวเสี้ยนที่มีคนรู้จักอยู่แล้ว (ขายไปกว่า 2-3ล้านชิ้น) ก็แค่มาใส่ในแบรนด์ชา ผมคิดง่ายๆแค่ว่า เราน่าจะประหยัดค่า marketing ณ วันนั้นเราคิดแค่นั้น เราไม่ได้คิดหรอกว่ามันจะสำเร็จขนาดไหน แต่มันกลายเป็นว่า ด้วยความที่มันแปลกนี่แหละ ทำให้ ลูกค้า เอ๊ะกับมัน และจำมันได้ง่าย เพราะว่าไม่เคยมีแบรนด์เครื่องดื่มไหน ที่เอาอวัยวะร่างกายมาเป็นโลโก้ “
เชื่อว่าผู้อ่านที่ได้อ่านจุดเรื่มต้นของแบรนด์ข้างต้นแล้ว ก็คงอาจเกิดความสงสัยเหมือนผู้เขียนตรงที่ว่าอุตสาหกรรมเครื่องสำอางค์และสกินแคร์ กับอุตสาหกรรม F&B ฟังดูแล้วมันดูแตกต่างกันจนเกินไป
จริงอยู่ที่ว่าเมื่อนักธุรกิจเริ่มทำธุรกิจแรกแล้ว มันไม่ได้หยุดแค่นั้น แต่มักจะมีธุรกิจที่ต่อยอดไปเรื่อยๆ และส่วนใหญ่มักจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน
คุณกฤต ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า การที่เรากระโดดจากสกินแคร์ มาธุรกิจ F&B มันคือความท้าทายเพราะความรู้เรา = 0 ประสบการณ์เรา = 0 แต่มันคือ การกระจายความเสี่ยงพอร์ดของเราให้มีหลากหลายเพื่อไปในอุตสาหกรรมอื่นๆ
โดยในช่วงเริ่มต้น เนื่องจากคุณไผ่และคุณกฤต ไม่มีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจ F&B มาก่อน เลยได้สร้างร้านดัมมี่ (ร้านเล็กๆที่ลองทดลองเปิดขาย) ขึ้นที่หน้าตึกสกินแคร์ของตัวเองย่านทาวน์อินทาวน์ (ซึ่งอยู่ในหมู่บ้าน) เพื่อให้ทางคุณกฤตได้เรียนรู้เรื่องระบบ operation เพราะวันนั้นราคาชาชีสที่กล้าขายแก้วละหลักร้อยมันยังไม่ค่อยมีในตลาด เราก็เลยอยากทดลองตลาดจริงๆว่าลูกค้าชอบรสชาติเราไหม หรือ ราคาแบบนี้ลูกค้ารับไหวไหม
เรียกได้ว่าตอนแรกๆก็ลองผิดลองถูกมาเยอะ เพื่อให้มั่นใจว่า ราคาได้ รสชาติได้ เลยเริ่มขยายสาขาเข้าไปในเมือง โดยสาขาแรกที่เปิดคือ สาขา siam center ในปี 2023 ซึ่งลูกค้ากลุ่มแรกก็มีถึง 2 ประเภทด้วยกัน 1.กลุ่มลูกค้าที่เป็นแฟนคลับ 2.กลุ่มที่เดินเล่นห้างแล้วผ่านหน้าร้าน แล้วเกิดความสงสัยว่าคนมุงอะไรกันเยอะแยะเลยตัดสินใจเข้าไปลอง
คุณกฤต ได้เล่าว่า จุดเปลี่ยนที่สำคัญของ Nose Tea คือเกิดจากแพลตฟอร์ม TikTok ในเวลานั้นคุณไผ่ได้มีการเล่าเรื่องร้าน หรือว่า brand story ผ่าน TikTok แล้วกลายเป็นไวรัลข้ามคืน ยังจำได้ว่า 1 วันหลังจากคลิปไวรัล มีไรเดอร์เข้ามาคิวอยู่หน้าร้านเยอะมาก ลูกค้าก็ให้การตอบรับมาต่อแถวซื้อเยอะมาก
คุณกฤต ยังได้แชร์มุมมองต่อว่า โซเชียลมีเดียคือ แพลตฟอร์มที่ทำให้เราสนิทกับลูกค้ามากขึ้น เราได้รับรู้ความคิดเห็นที่แท้จริงของลูกค้า ว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แต่ในขณะเดียวกันเวลาเกิดดราม่ามันก็จะไวลรัลอย่างรวดเร็ว สิ่งที่สำคัญคือ แบรนด์ได้ take action อะไรอย่างรวดเร็วหรือไม่ ถ้าออกมาเคลื่อนไหวอย่างดี สุดท้ายแล้วเราก็จะได้ใจผู้บริโภค
ในวันที่พฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ธุรกิจหน้าใหม่เกิดขึ้นไม่ซ้ำหน้า เราจะทำอย่างไรให้ลูกค้ารักแบรนด์ กลับมาซื้อซ้ำ?
คุณกฤต ได้แชร์มุมมองว่า คิดว่าหนึ่งสิ่งที่ทำให้ Nose Tea ยังมีลูกค้าแวะเวียนกลับเข้ามา เพราะออกเมนูใหม่เรื่อยๆผ่านการ Collaboration ซึ่งมันคือการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้แก่ลูกค้า
โดยปัจจุบัน Nose Tea มีสมาชิกกว่า 300,000 ราย พบว่าลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำเยอะ Top spender ใช้เงินระดับ 5,000 บาท/เดือน และทุกครั้งที่มีอีเว้นต์เปิดตัวสินค้าใหม่ Nose tea ก็เชิญ เหล่า Top spender มาร่วมงานด้วยทุกครั้งเพื่อสร้างความพิเศษให้แก่ลูกค้า
นอกจากนี้การเก็บ Data ยังมีอีกหนึ่งข้อดี คือการที่เราได้รู้ความต้องการและความชื่นชอบของลูกค้าของเราจริงๆ อย่างเช่น เทรนด์สุขภาพที่เกิดขึ้น เราน่าจะได้ยินว่าคนหันมาดูแลตัวเองมากขึ้น กินหวานน้อยลง หลายๆคนก็น่าจะคิดว่าต้องส่งผลกระทบต่อแบรนด์ชานมไข่มุกอย่างแน่นอน แต่เชื่อหรือไม่ ว่า Nose Tea ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะนี่ไม่ใช่ Target Customer ของ Nose Tea
คุณกฤต ได้เล่าว่า “เราเก็บ data เพราะอยากรู้ว่าลูกค้าจริงๆของ Nose tea กินชีสกี่เปอร์เซ็นของทั้งหมด พบว่ามากกว่า 70% กินชีสกับเครื่องดื่ม ตอนที่เทรนด์สุขภาพมา เราก็ได้มีการออก sugar free ไซรัป โดยให้ลูกค้าสามารถเลือกได้แค่ไม่คิดเงินลูกค้าเพิ่มขึ้นเลย แต่กลายว่าลูกค้าไม่ได้เปลี่ยนเยอะขนาดนั้น คนไทยยังเลือกที่จะกินของอร่อยมากกว่า ถ้าอยากรู้สึกผิดน้อยลงจะเปลี่ยนเมนูจากชานมเป็นชาผลไม้แทน หรือบางวันก็อาจจะไม่กินชีส “
ส่วนการ collaboration เริ่มแรกคือเราแค่อยากตะโกน เล่าเรื่องแบรนด์ของตัวเอง คุณกฤต ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า ตอนนี้ Collaboration มาแล้วกว่า 9 แบรนด์ แต่ภายในสิ้นปีนี้น่าจะจบที่ 12 แบรนด์ โดยโปรเจกต์แรกคือการทำเมนูชาข้าวเหนียวมะม่วง โดยคิดแค่ว่ามันน่าจะสนุกขึ้นถ้าแบรนด์ไม่ได้ทำแค่คนเดียว เลยเริ่มมองหาพาร์ทเนอร์เพื่อแลกเปลี่ยนกลุ่มลูกค้ากันได้ เลยเป็นว่าไม่ได้จบแค่ 1 แคมเปญ ทุกครั้งที่เราทำเราเล่นใหญ่พอสมควร มันเลยเหมือนเป็น snowball effect พอแบรนด์อื่นๆเห็นก็ได้มีการติดต่อมาเพื่อขอ collaboration
แต่โปรเจกต์ collaboration ที่คุณกฤตชอบและมีความท้าทายมากที่สุดคือ Xท่าแร่ ภาพยนต์หนังสยองขวัญ
คุณกฤต ได้เล่าว่า “ตอนนั้น สหมงคล เป็นคนติดต่อมาอยากให้เราทำเมนูเครื่องดื่มให้ แต่เราไม่อยากทำแต่เครื่องดื่ม เราอยากสร้างประสบการณ์ให้แก่ลูกค้า ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง มันน่าจะดีถ้าลูกค้าได้รับประสบการณ์ทั้งหมดเหล่านี้หลังจากดื่มเครื่องดื่มของเรา เลยได้มีการทำ 1 สาขาที่ยกฉากในหนังมาเลย พอเข้าไปในร้าน ลูกค้าได้จะกลิ่น ที่remind ถึงบรรยากาศพิธี ประกอบพิธีกรรม...ไข่ ที่เป็นส่วนผสมหลักของการประกอบพิธีกรรมก็เอามาทำเป็นคัสตาด เพราะกินแบบมี story กับไม่มี story ความอินมันก็จะแตกต่างกัน”
ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าแคมเปญนี้ ได้รับการพูดถึงเยอะมากในโลกออกไลน์ เพราะคนคิดไม่ออกว่าผีมันจะมาอยู่ในเครื่องดื่มได้อย่างไร
“ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไวตามกระแส ผู้บริโภคไม่ได้ต้องการแค่รสชาติที่อร่อยอย่างเดียว เค้าต้องการมากกว่านั้น บางครั้งเค้าต้องการ story บางครั้งเค้าต้องการ experience บางครั้งเค้าต้องการ social media เพื่อบอกเพื่อนได้ Nose Tea อยากเป็นแบรนด์ที่ยกระดับวงการชาของประเทศไทย อยากทำสิ่งใหม่ๆที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่น เล่นใหญ่ สาขาใหญ่ มี drive through หรือ collaboration กับแบรนด์แปลกๆข้ามอุตสาหกรรม”
จากความคิดใหญ่ ทำใหญ่ กล้าลองอะไรใหม่ๆทำให้ Nose Tea ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค ปี 65 แม้เป็นปีแรกที่เปิด 1 สาขาแต่สามารถสร้างรายได้ 2 ล้านบาท เข้าปีที่ 2 (2566) เติบโตกว่า 2,000 % กวาด 49 ล้านบาท และปิดจบปีที่ 3 (2567) เติบโตกว่า 500% ด้วย รายได้กว่า 297 ล้านบาท รายได้ที่เติบโตขึ้นสวนกระแสเศรษฐกิจแบบนี้ ก็อาจหมายถึงกลยุทธ์ธุรกิจที่วางไว้ได้อย่างแม่นยำ
นอกจากนี้ Nose Tea ยังได้ออก 2 เมนูใหม่อย่าง “COFFEE TEA SIGNATURE” ที่เกิดจากการผสมผสานความหอมของเมล็ดกาแฟคั่วชั้นดี ที่ลูกค้าสามารถ เลือกระดับความเข้มข้นได้ถึง 3 ระดับ ตามความชอบ เข้ากับความนุ่มลึกของ ชาอัสสัมเต็มใบ สูตรเฉพาะของแบรนด์ ก่อนจะปิดท้ายประสบการณ์ด้วย “ครีมชีสรสกาแฟ” ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ผลลัพธ์คือเครื่องดื่มที่หลอมรวมวัตถุดิบพรีเมียมจนเกิดเป็นมิติใหม่ของรสชาติ ที่ทั้งปลุกพลัง และละมุนอย่างไม่น่าเชื่อ
และ “MATCHA SIGNATURE” เลือกใช้วัตถุดิบ Matcha ระดับ Ceremonial Grade ซึ่งใช้ยอดอ่อนจากใบชาเกรดสูงสุด มีความโดดเด่นที่เนื้อสัมผัสละเอียดและรสชาติอูมามิอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ความพิเศษที่แท้จริงอยู่ในทุกเลเยอร์ของแก้วนี้ ด้านล่างสุดคือพานาคอตต้าMatchaเนื้อเนียนละมุนนม ตรงกลางคืMatchaแท้รสเข้มข้น และปิดท้ายด้วยครีมชีสMatchaที่รังสรรค์มาอย่างลงตัว ทำให้ใน 1 แก้วเต็มไปด้วยรสสัมผัสจากMatchaแท้ 100% ที่กลมกล่อมและไม่เหมือนใคร
ซึ่ง 2 เมนูนี้จะวางจำหน่ายตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน 2568 เป็นต้นไป ที่สาขาเซ็นทรัล พาร์ค