
การเป็นเจ้าของกิจการในยุคนี้ไม่ง่าย เพราะต้องเผชิญกับหลายปัจจัยลบ ตั้งแต่สภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ผู้บริโภคต่างรัดเข็มขัด ทำให้คนที่อยู่รอดต้องเป็นคนที่จับช่องตลาดได้ถูกที่และถูกเวลา
ยิ่งถ้าเป็นธุรกิจร้านอาหารไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้ผู้ประกอบการหลายคนบ่นโอดครวญถึงสมรภูมิเดือด การแข่งขันสูง คู่แข่งเยอะ ถ้าจะหาช่องว่างทางการตลาด ทำอะไรใหม่ ๆ ในสิ่งที่คนไม่เคยทำ ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรในการ Educate ตลาด แม้ว่าเหรียญจะมี 2 ด้าน เลือกผิดก็เจ๊ง เลือกถูกก็ปัง ยังมีโอกาสให้ผู้ประกอบการแจ้งเกิดและเติบโตได้ แต่หลายคนก็มองว่าตอนนี้อาจไม่ใช่เวลาที่ควรจะเสี่ยง?
แต่หนึ่งในร้านที่กล้าเสี่ยงพลิกเหรียญคือ KANORI ร้าน Hand Roll Bar เจ้าแรกของไทย ที่เปิดมาเพียงปีแรกก็สามารถกวาดรายได้ 100 ล้านบาท และสร้างปรากฏการณ์ Hand Roll ดังทั่วไทยจนหลาย ๆ ร้านคิดอยากจะลอก
SPOTLIGHT ขอชวนไปดูว่าพวกเขาทำได้อย่างไร ? โดยบทความนี้ SPOTLIGHT มีโอกาสได้พูดคุยแบบสุด exclusive กับสามพี่น้องตระกูล “กอบกุลสุวรรณ” ปณิธาน (คุณเบ๊นซ์), ปณิธิ (คุณโบ๊ท) และ ปวิตรา กอบกุลสุวรรณ (คุณเพลน)
คุณโบ๊ท และคุณแพลน ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังถึงจุดเริ่มต้นของแบรนด์ว่า แนวคิดในการเปิดร้าน KANORI เกิดขึ้นเมื่อตอนที่คุณเพลนเรียนอยู่ที่สหรัฐอเมริกา โดยทุกครั้งที่เหล่าพี่น้องไปเยี่ยมคุณเพลน ก็มักถือโอกาสตามล่าหาของกินโดยเฉพาะร้าน Hand Roll ที่เปิดใหม่ เพราะในเวลานั้น Hand Roll ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งจากคนเอเชียนและชาวตะวันตก
แต่เมื่อกลับมาไทย ก็พยายามหาร้าน Hand Roll แบบที่เคยกินที่สหรัฐอเมริกา แต่ปรากฏว่าไม่มี! และถึงแม้ว่ามีร้าน Hand Roll อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่รสชาติแบบที่ตนเองชอบ หรือความรู้สึกแบบที่เคยกินมา ประจวบกับการเห็นช่องว่างทางการตลาดที่ยังไม่มีใครทำ จึงตัดสินใจเปิด ร้าน Hand Roll Bar ของตนเองในชื่อว่า KANORI
โดยสาขาแรกที่เปิดในเดือนสิงหาคม 2566 เลือกเปิดในย่านสุขุมวิท 49 (ทองหล่อ) ร้านเล็ก ๆ ที่มีพื้นที่เพียงแค่ 45 ตารางเมตร และรองรับลูกค้าได้เพียง 20 ที่นั่ง
คุณแพลนเล่าต่อว่า สาเหตุที่ตั้งใจเปิดร้านเล็ก ๆ เพราะเราไม่แน่ใจว่าคนไทยจะเก็ตกับ Hand Roll หรือไม่ เพราะแม้ Hand Roll จะเป็นอาหารกึ่งสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งคนไทยคุ้นเคยกับอาหารญี่ปุ่นอยู่แล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า Hand Roll อาจจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนไทย เป็นอาหารที่ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย หากเจ๊งก็ต้องพับเสื่อ พับโปรเจ็กต์ จึงเริ่มจากเล็ก ๆ ก่อน
และแม้ว่าไอเดียของ Hand Roll จะถูกปิ๊งไอเดียมาจากสหรัฐอเมริกา แต่เชื่อหรือไม่ว่าคอนเซ็ปต์ที่ KANORI หยิบมาเป็นเพียงแค่ Core Concept เท่านั้น ที่เหลือได้ถูกดัดแปลงให้เข้ากับรสนิยมของคนไทยทั้งหมด
โดยร้าน Hand Roll ที่สหรัฐอเมริกา ส่วนมากจะเป็นร้านมืด ๆ เปิดไฟแสงนีออน เปิดเพลงดัง ๆ นั่งก็ไม่ค่อยสบาย แต่หากใครเคยไปทาน KANORI จะรู้เลยว่า บรรยากาศร้านจะเป็นพื้นที่โปร่ง นั่งสบาย บรรยากาศดี ให้ความรู้สึกเหมือนโอมากาเสะ (แต่ราคาจับต้องได้) ส่วนรสชาติของ Hand Roll ก็ถูกปรับใหม่หมดให้เข้ากับเทสต์ของคนไทยมากที่สุด
จากสิ่งที่คิดมาอย่างดี ส่งผลให้ในช่วงแรกที่ KANORI เปิด ได้รับกระแสความนิยมเป็นอย่างมาก คนจองคิวกันเต็มหลักเดือน (เพราะมีที่นั่งจำกัด) ด้วยเมนูแนวใหม่แต่มีความเข้าใจง่าย รสชาติถูกปาก ราคาไม่แพง ทานได้ทุกกลุ่มทุกเพศทุกวัย ซึ่งคุณโบ๊ท ได้เปิดใจเล่าว่า ทางร้านไม่ได้ดึงอินฟลูเอนเซอร์หรือจ้างมาเพื่อโหมโปรโมตเลย เพียงแค่ชวนเพื่อนที่รู้จักมาทาน แล้วแต่ละคนก็โพสต์ลงใน social media บวกกับลูกค้าที่มาทานเกิดประทับใจก็มีการรีวิวปากต่อปากลงใน social media จึงทำให้ KANORI กลายเป็นที่รู้จักในฐานะ Hand Roll Bar เจ้าแรกของไทย
KANORI ประสบความสำเร็จกวาดรายได้ 100 ล้านบาทตั้งแต่ปีแรก ขยายสาขา 2 เข้าไปในห้างดังอย่าง EmQuartier เพียงแค่ 4 เดือนนับจากเปิดสาขา 1
ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า KANORI คือร้านที่จุดกระแส Hand Roll ในประเทศไทย ที่ใครก็ใครก็อยากลองกิน เช่นเดียวกันกับอยากทำตาม
คุณเพลน ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า ในช่วงที่ KANORI บูมมาก ๆ ได้เห็นหลายร้านได้นำคอนเซ็ปต์ Hand Roll ไปขาย เห็นบางร้านลอก KANORI ไปทั้งหมด ตั้งแต่ตัวเมนู การจัดวางเมนู ส่วนผสมที่ใส่ไปใน Hand Roll (เพราะหากใครเคยกินจะรู้ว่าเราจะได้เห็นทุกขั้นตอนในการทำของเชฟ รวมถึงส่วนผสมที่ใส่ผ่านแผ่นเมนูที่วางอยู่) ซึ่งยอมรับว่านอยด์ เสียใจ แต่มองอีกแง่หนึ่ง การที่มีคนเลียนแบบก็สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจของตนเองมาถูกที่ ถูกเวลาแล้ว สามารถปลุกกระแสจนกลายเป็นเทรนด์ได้
แต่จะลอกอย่างไร เจ้าของ KANORI ก็มั่นใจว่าไม่มีใครทำได้เหมือน แม้ว่าจะทำทุกอย่างเหมือนกัน เพราะหัวใจของ Hand Roll คือ ‘สาหร่าย’ ที่ต้องมีความกรอบอร่อย
คุณโบ๊ต และ คุณเพลน ได้เล่าว่า ได้คิดไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่า หากธุรกิจนี้ประสบความสำเร็จ ยังไงก็ต้องมีคู่แข่ง แต่จะเหมือนอย่างไรก็ได้ที่ไม่ใช่ตัวสาหร่าย เนื่องจาก คุณโบ๊ต และ คุณเพลน ได้มีการบินไปที่ญี่ปุ่นเพื่อเสาะหาสาหร่ายที่ดีที่สุด พร้อมมีการเซ็นสัญญาในฐานะ Exclusive Partner ที่ต้องผลิตให้แค่ KANORI เจ้าเดียวเท่านั้น
จากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียนที่เป็นคนชอบอาหารญี่ปุ่นและได้มีโอกาสไปกินที่ KANORI อยู่บ่อยครั้งร่วมถึง Hand Roll ร้านอื่น ๆ ก็ต้องยอมรับว่า สาหร่ายของ KANORI มีความกรอบที่แตกต่างกับเจ้าอื่นจริง ๆ ที่ไม่ว่าจะไปลองเปิดใจลองกินร้านใหม่ ๆ แต่สุดท้ายก็วนกลับมาที่ KANORI เพราะสาหร่าย
หากธุรกิจเราไปได้ดี และอยากเพิ่มยอดขาย เชื่อว่าใครหลาย ๆ คนต้องเลือกที่จะเร่งเปิดสาขาใหม่เรื่อย ๆ แต่ KANORI กลับเดินเกมตรงกันข้าม เพื่อให้คงรักษามาตรฐานเดียวกันทุกสาขา ตั้งเป้าว่าสาขาของแบรนด์จะมีไม่เกิน 10 สาขา แต่ต้องตั้งอยู่ในทำเลทองเท่านั้น
ปัจจุบัน KANORI มี 5 สาขาหลักในกรุงเทพฯ ได้แก่ สุขุมวิท 49, เอ็มควอเทียร์ (EmQuartier), เซ็นทรัล เอ็มบาสซี (Central Embassy), ไอคอนสยาม (ICONSIAM), และ สยามพารากอน (Siam Paragon) โดยแต่ละสาขามีบรรยากาศและเมนูพิเศษแตกต่างกันไป
“ร้านอาหาร – กลุ่มเป้าหมาย –ทำเล” สิ่งนี้ต้องมาคู่กันแบบเลี่ยงไม่ได้ ลองคิดภาพตามดูง่าย ๆ ถ้าคุณเปิดร้านอาหารเจาะกลุ่มระดับบน การตกแต่งร้านสุดหรู แต่ทำเลที่ตั้งที่ไม่ได้อยู่ในระแวกกลุ่มเป้าหมาย ก็อาจสำเร็จได้ยาก
KANORI แม้เป็นร้าน Hand Roll ที่ราคาไม่ได้สูง แต่ก็เป็นร้านที่ไม่ได้เจาะกลุ่มแมส ทำให้ 5 สาขาของ KANORI เลือกที่ตั้งอยู่ที่สุขุมวิท ที่เป็นแหล่งร้านอาหารดับท็อป และศูนย์การค้าที่เป็นระดับ Top Tier ของประเทศ ซึ่งลูกค้าแต่ละบิลก็เฉลี่ยในระดับที่สูง เช่น EmQuartier เฉลี่ย 1,400 -1,500 บาท/บิล Central Embassy เฉลี่ย 2,000 บาท/บิล ช่วงพีก ๆ มีลูกค้าแต่ละสาขา 250 - 300 ราย/วัน ส่วน Central Embassy คือสาขาที่เคยสร้างยอดขายได้มากที่สุดอยู่ที่ 13 ล้านบาทใน 1 เดือน
จากความสำเร็จทั้งหมดของ KANORI ทำให้ปีแรกสามารถกวาดรายได้กว่า 100 ล้านบาท ปีที่สอง 200 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้น่าจะปิดรายได้ที่ 400 ล้านบาท
จากความสำเร็จของ KANORI ทำให้สามพี่น้องตระกูล “กอบกุลสุวรรณ” ต่อยอดสู่ Kayaki ปิ้งย่างซาชิมิซีฟู้ด เจ้าเเรกในไทย!
คุณโบ๊ท ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า ไอเดียนี้เกิดมาจากการไปเที่ยวญี่ปุ่น เมื่อคุณแม่ไม่ทานเนื้อแต่อยากกินปิ้งย่าง ส่วนตัวคุณโบ๊ทเป็นสายเนื้อมาก เลยพยายามหาร้านที่เป็นตรงกลาง จนไปเจอปิ้งซาชิมิซีฟู้ดที่ย่างแบบกึ่งสุกกึ่งดิบ ส่วนตัวที่ไปกินรู้สึกประทับใจและชอบไอเดียนี้มาก จึงอยากนำมาเปิดที่เมืองไทย เพราะยังไม่เคยเห็นเจ้าไหนทำ
จึงได้ตัดสินใจพัฒนาคอนเซ็ปต์นี้มาประยุกต์กับสิ่งที่คนไทยชื่นชอบในร้าน Kayaki ซึ่งตอนนี้มี 2 สาขา นั่นก็คือ สาขา สุขุมวิท 49 และ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี (Central Embassy)
และเมื่อทีม SPOTLIGHT ได้ถามถึงแผนในอนาคตหรือร้านใหม่ ๆ ที่จะเปิดในอนาคต คุณโบ๊ท และคุณเพลน เพียงเกริ่นว่า ร้านใหม่ ๆ ที่เปิดจะยังคงคอนเซ็ปต์เดิม “ร้านที่ยังไม่เคยมีในไทย” แต่ก็ยังเป็นร้านอาหารเพื่อสุขภาพเช่นเคย