ในชีวิตการทำงาน เป็นธรรมดาที่จะมีเหตุให้รู้สึกไม่มีความสุขกับการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นไม่มีความสุขกับอาชีพการงานที่ทำอยู่ รู้สึกว่าอาชีพนี้ไม่ใช่สำหรับตัวเอง หรือไม่มีความสุขกับการอยู่ในองค์กรนั้นๆ ซึ่งเมื่อไม่มีความสุข หลายคนก็เลือกที่จะลาออกไปทำงานที่ใหม่ แต่สำหรับอีกหลายคนก็มีความจำเป็นที่ต้องอดทนทำงานเดิมต่อไปแม้ว่าในใจทุกข์ตรม
การที่คนจำนวนมากจำเป็นต้องกอดงานเดิมเอาไว้ อยากเปลี่ยนงานแล้วแต่เปลี่ยนไม่ได้ ส่งผลให้มีคนทำงานจำนวนมากที่กำลังประสบกับภาวะในใจไม่มีความสุขแต่ก็ยังทำงานเหมือนปกติไม่แสดงอาการออกมาให้คนอื่นรู้ ซึ่งภาวะนี้เป็นอีกเทรนด์ในโลกการทำงานยุคปัจจุบันที่ถูกให้คำนิยามว่า ‘quiet cracking’ หรือภาวะ ‘แตกสลายอย่างเงียบๆ’
TalentLMS ผู้ให้บริการระบบจัดการการเรียนรู้บนคลาวด์ ซึ่งทำวิจัยเรื่องนี้และเป็นผู้บัญญัติคำว่า quiet cracking ได้อธิบายไว้ว่า quiet cracking คือภาวะที่คนทำงานรู้สึกไม่มีความสุขกับงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่การขาดความผูกพันกับองค์กร ประสิทธิภาพการทำงานที่แย่ลง และความรู้สึกอยากลาออกเพิ่มขึ้น
quiet cracking มีความแตกต่างกับ quiet quitting (การลาออกเงียบๆ หรืออยู่แค่กาย ใจไปแล้ว) ตรงที่ quiet cracking เป็นความสึกกร่อนทางจิตใจที่เกิดขึ้นโดยที่พนักงานไม่ได้ตั้งใจให้เกิด พนักงานที่เกิดภาวะ quiet cracking มีทั้งกรณีที่ยังทำงานได้ตามปกติ ประสิทธิภาพการทำงานไม่ลดน้อยลงเพียงแต่ในใจพวกเขารู้สึกทุกข์ตรม และกรณีที่ความรู้สึกทุกข์ตรมนั้นส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงไปด้วย
ขณะที่ quiet quitting คือ การที่พนักงานมีเจตนาหรือตั้งใจทำงานตามขั้นต่ำหรือทำเท่าที่จำเป็น ไม่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการทำงานอย่างเต็มร้อย มีการตั้งขอบเขตการทำงานไว้อย่างชัดเจน ซึ่งมักจะสังเกตเห็นได้ง่ายกว่า quiet cracking
นอกจากนั้น quiet cracking ยังต่างจากภาวะหมดไฟ (burnout) ตรงที่มันไม่ได้แสดงออกในรูปแบบของความเหนื่อยล้าเสมอไป บางคนที่มีภาวะ quiet cracking ยังแสร้งทำเหมือนว่าสบายดีได้อย่างแนบเนียน
งานวิจัยของ TalentLMS ซึ่งสอบถามความเห็นพนักงานในสหรัฐฯ จำนวน 1,000 คน จากหลากหลายอุตสาหกรรมเมื่อเดือนมีนาคม 2025 พบว่า พนักงานที่ตอบแบบสำรวจ 20% เคยประสบกับภาวะนี้บ่อยครั้ง และ 34% เคยประสบกับภาวะนี้เป็นครั้งคราว ขณะที่ประมาณ 47% บอกว่าเคยรู้สึกไม่บ่อยนัก หรือแทบไม่เคยเลย
ส่วนสาเหตุการเกิด quiet cracking นั้น การวิจัยของ TalentLMS พบข้อกังวลหลักๆ ได้แก่ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ, ภาระงานและความคาดหวังจากที่มากเกินไป, โอกาสในการเรียนรู้มีน้อย, ขาดผู้นำที่ดีหรือองค์กรไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน, การเลิกจ้างหรือการปรับโครงสร้างองค์กร และการไม่ได้รับการยอมรับและขาดโอกาสก้าวหน้าในอาชีพการงาน
เทรนด์ quiet cracking ที่พบในช่วงปีนี้ เชื่อมโยงโดยตรงกับสภาพเศรษฐกิจและตลาดแรงงานที่ไม่ดี ต่างจากเมื่อสามสี่ปีก่อน ที่เราเห็นเทรนด์การลาออกครั้งใหญ่ (the great resignation) ซึ่งในช่วงนั้นเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวและตลาดงานก็ยังดี จึงเอื้อให้คนที่ไม่มีความสุขกับงานสามารถหางานใหม่และลาออกได้เร็ว แต่ในปีนี้ การหางานใหม่ไม่ง่าย คนทำงานจำนวนมากจึงต้องอดทนทำงานแบบหน้าชื่นอกตรมกันต่อไป อย่างในไทยเราก็มักจะได้ยินคำกล่าวที่ว่า “กอดงานประจำเอาไว้”
คอรีย์ สตาห์เล (Cory Stahle) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ Indeed ซึ่งเป็นเว็บไซต์หางานแสดงความเห็นว่า คำศัพท์ต่างๆ เช่น การแตกสลายอย่างเงียบๆ (quiet cracking), การลาออกอย่างเงียบๆ (quiet quitting) และการลาออกครั้งใหญ่ (the great resignation) ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์ที่ซ่อนอยู่เป็นวงกว้างในตลาดแรงงาน ปรากฏการณ์ที่เกิดภาวะ quiet cracking ในตอนนี้สอดคล้องกับข้อมูลที่ว่า ตอนนี้ตลาดงานไม่ดีเท่าช่วงที่เกิดเทรนด์การลาออกครั้งใหญ่ คนจึงเลือกทำงานอยู่ที่เดิมมากขึ้น
เขาอธิบายต่อว่า ในช่วงปลายปี 2021 และตลอดปี 2022 ซึ่งเป็นช่วงที่เทรนด์การลาออกครั้งใหญ่พุ่งสูงถึงขีดสุด หากพนักงานรู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนงานพวกเขาก็มีโอกาสในการทำงานมากมายให้เลือก ในขณะเดียวกัน ค่าจ้างก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้หลายคนย้ายงาน แต่หลังจากนั้นมา เศรษฐกิจชะลอตัวลง ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นทำให้พนักงานลาออกน้อยลง ขณะที่ภาคธุรกิจก็ชะลอการจ้างงาน
แม้ว่า quiet cracking เป็นภาวะที่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้ในทันที หรืออาจจะไม่ส่งผลกระทบเร็ว แต่มันส่งผลกระทบต่อองค์กรมากเช่นกัน เพราะภาวะ quiet cracking อาจนำไปสู่ภาวะอื่นๆ ที่อันตรายกว่า อย่างภาวะหมดไฟ (burnout) หรือภาวะลาออกเงียบๆ-อยู่แค่กาย ใจไปแล้ว (quiet quitting) ซึ่งส่งผลให้ผลผลิตขององค์กรลดลง
ตามรายงานของ Gallup ที่เผยแพร่เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาระบุว่า การที่พนักงานไม่มีความผูกพันกับองค์กรนั้นส่งผลให้สหรัฐอเมริกาสูญเสียผลผลิตไปเป็นมูลค่าประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และในภาพรวมทั้งโลก การที่พนักงานไม่ผูกพันกับองค์กรสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลก 8.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
เพื่อรับมือกับภาวะ quiet cracking ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า นายจ้างต้องเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงของภาวะนี้ก่อน แล้วแก้ไปที่สาเหตุเหล่านั้นอย่างตรงจุด แต่การที่จะเข้าใจสาเหตุของมันได้นั้น ผู้บริหารต้องสังเกตว่าพนักงานของตัวเองกำลังเผชิญภาวะนี้อยู่หรือไม่ ซึ่งตรงนี้มีความท้าทายอย่างที่กล่าวไปว่า ในหลายๆ คนที่เผชิญภาวะ quiet cracking ก็ไม่ได้แสดงอาการให้เห็นอย่างชัดเจน
แฟรงก์ จีอัมปิเอโตร (Frank Giampietro) หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่าย Wellbeing ของ EY บริษัทตรวจบัญชียักษ์ใหญ่ของโลกแนะนำว่า นายจ้าง-ผู้บริหารควรหมั่นสังเกตพนักงานของตัวเองว่ามีความเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ แล้วพูดคุยสอบถามกับพนักงานด้วยตนเองว่าความเปลี่ยนแปลงที่เห็นนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร และหาทางช่วยพนักงานให้รับมือกับความยากลำบากที่พวกเขาเผชิญอยู่
นิกคีล แอโรรา (Nikhil Arora) ซีอีโอของ Epignosis บริษัทให้บริการโซลูชันการพัฒนาบุคลากร กล่าวว่า วิธีแก้ปัญหา quiet cracking นั้นง่ายมาก คือ มอบโอกาสในการเติบโตผ่านการเรียนรู้ การพัฒนาทักษะ และการสื่อสารอย่างเปิดกว้าง เพื่อดึงดูดพนักงานให้กลับมาผูกพันกับองค์กรอีกครั้ง
เมื่อพิจารณลงไปที่รายละเอียดของสาเหตุการเกิด quiet cracking องค์กรและนายจ้างสามารถแก้ไปที่ต้นเหตุของปัญหาได้ดังนี้
1. องค์กรต้องกำหนดความคาดหวังและสร้างสมดุลระหว่างภาระงานให้พอดี: พนักงาน 29% ระบุว่า ภาระงานของพวกเขามากเกินกว่าจะจัดการได้ ปัญหานี้นายจ้างสามารถช่วยได้โดยการตรวจสอบการกระจายงาน กำหนดความคาดหวังที่ชัดเจน และนำเสนอเครื่องมือจัดการความเครียด ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้พนักงานกลับมารู้สึกมีเป้าหมายและมีพลังในการทำงานอีกครั้ง
2. หัวหน้า-นายจ้างต้องหมั่นชื่นชมผลงานของพนักงาน: ผลสำรวจของ TalentLMS พบว่า พนักงานที่ประสบปัญหา quiet cracking มีแนวโน้มที่จะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับการให้ความสำคัญหรือถูกด้อยค่ากว่าพนักงานทั่วไปถึง 152% ดังนั้น การชื่นชมผลงานของพวกเขาอย่างสม่ำเสมอเป็นวิธีง่ายๆ ที่ทรงพลังในการเพิ่มขวัญกำลังใจและเพิ่มความผูกพันของพนักงานกับองค์กร
3. ลงทุนกับการฝึกอบรมพนักงาน: ตามข้อมูลของ HR Digest พนักงานที่ได้รับการฝึกอบรมในปีที่ผ่านมารู้สึกมีความมั่นคงในหน้าที่การงานมากขึ้นถึง 140% เพราะพวกเขาเห็นว่าการที่นายจ้างลงทุนกับการพัฒนาศักยภาพของพวกเขาแสดงว่านายจ้างอยากให้พวกเขาอยู่ทำงานต่อไป ดังนั้น เพื่อรับมือกับภาวะแตกสลายอย่างเงียบๆ ของพนักงาน นายจ้างควรลงทุนในเส้นทางการเรียนรู้แบบมีโครงสร้าง ให้คำแนะนำปรึกษาแก่พนักงาน และมีการสื่อสารที่ชัดเจนเกี่ยวกับโอกาสในการเติบโต แม้ว่าทรัพยากรขององค์กรจะมีจำกัดก็ตาม
สำหรับพนักงาน หากสังเกตพบว่าเกิดภาวะ quiet cracking ขึ้นกับตัวเอง ควรปรึกษาหารือกับหัวหน้าหรือผู้บริหารเกี่ยวกับภาระงานและความคาดหวัง เสนอไอเดียที่เสริมสร้างขวัญกำลังใจ และแสวงหาโอกาสในการพัฒนาศักยภาพและความก้าวหน้าของตนเอง แต่หากมีการพูดคุยกันแล้วไม่เกิดการปรับปรุงใดๆ จะพิจารณาทางเลือก ‘ลาออก’ ก็ได้
ที่สำคัญ คือ เพื่อลดความเครียดเกี่ยวกับความมั่นคงในหน้าที่การงาน และเพื่อเตรียมความพร้อมในการเปลี่ยนงาน พนักงานจำเป็นต้องสร้างหลักประกันทางการเงิน ต้องมีเงินออมเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ซึ่งการมีเงินออมจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความเครียดเมื่อต้องการลาออกจากงาน ไม่ว่าจะเป็นการลาออกโดยที่ยังไม่ต้องเร่งรีบหางานก่อนลาออก เพราะต้องการใช้เวลาวางแผนในการหางานใหม่ที่ดีกว่าจริงๆ หรือจะเป็นการลาออกเพียงเพื่อต้องการออกจากสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นพิษก็ตาม
อ้างอิง: CNBC, Yahoo Finance และ Business Insider