หุ้นบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI กลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกครั้งเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 หลังใช้เวลานานกว่า 4 ปีภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ การกลับเข้าสู่ตลาดในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก สะท้อนความคาดหวังต่อแนวโน้มการฟื้นตัวและทิศทางของบริษัทในระยะข้างหน้า
ในการเปิดการซื้อขายวันแรก หุ้น THAI เริ่มต้นที่ราคา 10.50 บาท ก่อนจะเคลื่อนไหวผันผวนตลอดช่วงเช้า โดยราคาปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 11.00 บาท และลงต่ำสุดที่ 8.55 บาท ปิดภาคเช้าที่ 9.50 บาท ลดลง 1.00 บาทจากราคาเปิด หรือคิดเป็น -9.52% แต่หากเทียบกับราคาปิดก่อนถูกขึ้นเครื่องหมาย SP ที่ 3.32 บาท ถือว่าเพิ่มขึ้นถึง 186% คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายรวมราว 3,497 ล้านบาท
สำหรับวันแรกของการเทรด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เปิดให้ราคาหุ้นเคลื่อนไหวอย่างเสรี โดยไม่มีการกำหนดกรอบราคาสูงสุด-ต่ำสุด (Ceiling & Floor) และไม่มีการใช้มาตรการควบคุมราคาชั่วคราว เช่น Dynamic Price Band และ Auto Pause ส่งผลให้ราคาปรับตัวตามกลไกตลาดอย่างเต็มรูปแบบ ตามแรงซื้อขายจริงในระบบ
ด้านมุมมองจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์หลายสำนัก ระบุว่าการบินไทยในโฉมใหม่มีความพร้อมมากขึ้น ทั้งในแง่โครงสร้างธุรกิจและสถานะทางการเงินที่มั่นคงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ภายหลังการปรับโครงสร้างหนี้และการปฏิรูปองค์กรครั้งใหญ่ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญต่อศักยภาพการฟื้นตัวและการเติบโตในระยะยาวของบริษัท
บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด มองว่า การพลิกฟื้นของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ถือเป็นกรณีศึกษาที่โดดเด่นของการปรับโครงสร้างองค์กรในอุตสาหกรรมการบินระดับภูมิภาค โดยเฉพาะภายหลังวิกฤตโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสายการบินทั่วโลก
การบินไทยเปลี่ยนสถานะจากรัฐวิสาหกิจที่มีภาระหนี้สะสมจำนวนมาก มาเป็นองค์กรเอกชนที่มีความคล่องตัวและเดินหน้าอย่างชัดเจนสู่ความยั่งยืน ปัจจุบันบริษัทกลับมามีกำไร และได้นำหุ้นกลับเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง โดยมีเป้าหมายสำคัญในระยะถัดไป คือ การเติบโตอย่างยั่งยืน การบริหารเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างความแข็งแกร่งในตลาดการบินระยะไกลที่ให้ผลตอบแทนสูง
โกลเบล็กคาดว่า THAI จะมีกำไรหลักสุทธิเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 23.6% ต่อปี (CAGR) ในช่วงปี 2567–2570 โดยจะเติบโตจาก 25,600 ล้านบาทในปี 2567 เป็น 40,200 ล้านบาทในปี 2570 แม้ว่าในปี 2567 บริษัทจะขาดทุนสุทธิ 26,900 ล้านบาท จากการรับรู้ผลขาดทุนพิเศษ 45,300 ล้านบาทที่เกิดจากกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ แต่กำไรจะฟื้นกลับมาอยู่ที่ 29,200 ล้านบาทในปี 2568 และเติบโตต่อเนื่องจนถึง 40,200 ล้านบาทในปี 2570
ในอนาคต โกลเบล็กมองว่าแรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตของ THAI ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารฝูงบิน การยกระดับรายได้ต่อผู้โดยสาร (Passenger Yield) และการจัดพอร์ตเส้นทางบินให้สอดคล้องกับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลก
ความสำเร็จในการฟื้นฟูทางการเงินประกอบกับการกลับมาดำเนินกลยุทธ์ที่มีความชัดเจน ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการบินไทยในยุคใหม่ โดยเฉพาะเมื่อมีทีมผู้บริหารที่มีแนวคิดแบบผู้ประกอบการ พร้อมนำจุดแข็งของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางบินที่เชื่อมต่อหลากหลาย หรือบริการที่มีอัตลักษณ์ไทยกลับมาใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งเคยเป็นจุดอ่อนในอดีตที่นำไปสู่การขาดทุนต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ประสบการณ์ในอดีต โดยเฉพาะกรณีการขาดทุนจากการซื้อและขายเครื่องบิน A340 ทั้ง 10 ลำภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่ฝ่ายบริหารชุดปัจจุบันไม่ควรมองข้าม การบริหารฝูงบินอย่างมืออาชีพจะเป็นกุญแจหลักในการรักษาสมดุลระหว่างประสิทธิภาพต้นทุนและความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
โกลเบล็กประเมินมูลค่าหุ้น THAI ด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายที่ 7.2 บาทต่อหุ้น โดยใช้อัตราส่วน P/E ปี 2568 ที่ 7 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของสายการบินระดับโลกที่ประมาณ 9.6 เท่า (ไม่รวมสายการบินที่มีโครงสร้างผิดปกติ เช่น 670HK และ AAL US) เพื่อสะท้อนข้อเสียเปรียบบางประการ เช่น ต้นทุนน้ำมันที่ยังสูงกว่าเพื่อนร่วมอุตสาหกรรม
แม้การบินไทยอาจยังเสียเปรียบสายการบินจากประเทศปลายทางยอดนิยม เช่น จีน ญี่ปุ่น หรือสหรัฐฯ แต่จุดแข็งของบริษัทในด้านบุคลากร การบริการ วัฒนธรรมองค์กร และฐานะทางการเงินที่กลับมาแข็งแกร่ง จะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญที่ช่วยให้บริษัทสามารถเติบโตต่อเนื่องในช่วงปี 2568–2570 ได้อย่างมั่นคง