Starbucks รายงานผลประกอบการในไตรมาสล่าสุด ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 29 มิถุนายน 2568 พบว่ารายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น 4% เป็น 9,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2568 ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 9,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
แม้ว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น แต่ความต้องการที่ชะลอตัวในสหรัฐอเมริกายังคงเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งผลประกอบการของบริษัท สะท้อนจากกำไรสุทธิในช่วง 3 เดือน (เดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2568) ลดลง 47% อยู่ที่ระดับ 558 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ตัวเลขยอดขายของสาขาเดิมและยอดขายของสาขาที่เปิดให้บริการมาแล้วอย่างน้อย 1 ปีทั่วโลก หรือ Same-Store Sales ปรับตัวลดลงราว 2% ซึ่งถือเป็นการลดลงที่มากกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และนับเป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกันแล้วที่ตัวเลขดังกล่าวปรับตัวลดลง
สำหรับยอดขายของสาขาเดิมในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่อันดับ 2 ของ Starbucks รองจากสหรัฐอเมริกา มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย Brian Niccol ซีอีโอของ Starbucks เปิดเผยว่าบริษัทกำลังมองหาพันธมิตรที่สามารถช่วยขยายธุรกิจในจีน โดยเฉพาะในเมืองเล็ก ๆ เพื่อรักษาส่วนแบ่งที่สำคัญนี้เอาไว้
ซีอีโอของ Starbucks ระบุว่าบริษัทกำลังปรับปรุงการให้บริการครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูยอดขายที่ตกต่ำในสหรัฐอเมริกา ซึ่งลำดับแรกคือการลดระยะเวลารอคอยของลูกค้าภายในร้าน ด้วยการลดจำนวนเมนู และความซับซ้อนของเครื่องดื่มลง รวมถึงการนำซอฟต์แวร์ใหม่เข้ามาใช้งานเพื่อช่วยจัดการกับลำดับคำสั่งซื้อ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้ 80% ของคำสั่งซื้อภายในร้านเสร็จสิ้นภายในระยะ 4 นาที หรือน้อยกว่านั้น
อีกหนึ่งกลยุทธ์ในการฟื้นฟูยอดขายของ Starbucks ในสหรัฐอเมริกา คือการเพิ่มเติมผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สอดคล้องกับเทรนด์การรักษาสุขภาพของผู้บริโภคในปัจจุบัน เช่น เครื่องดื่มโปรตีน รวมถึงเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของน้ำมะพร้าว เครื่องดื่มชูกำลังที่ลูกค้าสามารถปรับแต่งได้ อาหารที่ปราศจากกลูเตนและโปรตีนสูง ซึ่ง Brian Niccol กล่าวว่าบริษัทกำลังทดสอบเมนูใหม่เหล่านี้ร่วมกับพนักงานอย่างใกล้ชิด เพื่อทำให้แน่ใจว่าพวกเขาสามารถทำเครื่องดื่มและเมนูต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ จากเดิมที่บริษัทมักจะพัฒนาเมนูใหม่ ๆ ที่สำนักงานใหญ่ แล้วหวังว่าบาริสต้าจะรู้วิธีทำ