28 ม.ค.65 ทวิตเตอร์ของสายการบิน ซาอุดีอาระเบีย ทวิตภาพและข้อความว่า “Explore Thailand. The Land of Culture.” พร้อมประกาศการเปิดเที่ยวบินตรง จากซาอุดิอาระเบียมาไทย เริ่มต้นเดือน พฤษภาคมนี้มีการระบุ จะเริ่มให้เปิดจองเร็ว ๆนี้ ทวิตดังกล่าวเมื่อวันที่ 26 มกราคม หลังนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เดินทางเยือนซาอุดีอาระเบีย ฟื้นความสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯ ในรอบ30ปี ซึ่งถือเป็นข่าวดีที่จะเกิดความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างกันต่อไป
.
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ความสำเร็จในการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ทาง ททท.จึงเร่งเดินหน้าวางแผนจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์และเสนอขายการท่องเที่ยว เพื่อดึงให้นักท่องเที่ยวในซาอุดีอาระเบียได้เดินทางมาเที่ยวประเทศไทย เนื่องจากที่ผ่านมาทางการประเทศซาอุดีอาระเบียยังไม่อนุญาตให้ชาวซาอุดีอาระเบียเดินทางมาประเทศไทยสำหรับการท่องเที่ยว โดยอนุญาตให้เดินทางเพื่อการรักษาพยาบาล การติดต่อเจรจาธุรกิจ/ราชการเท่านั้น
โดยในปี 2560 มีนักท่องเที่ยวซาอุฯเดินทางมาไทย 33,517 คน สร้างรายได้ 3,510 ล้านบาท ปี 2561 มีจำนวน 28,334 คน สร้างรายได้ 2,615 ล้านบาท ปี 2562 มีจำนวน 30,002 คน สร้างรายได้ 2,711 ล้านบาท จากนั้น ในปี 2563-2564 เดินทางเข้าไทย 4,125 คน และ467 คน ตามลำดับ เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างไรก็ตาม เมื่อทั้งสองรัฐบาลได้ฟื้นความสัมพันธ์กันแล้วจะทำให้มีนักท่องเที่ยวชาวซาอุฯมาไทยเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
สำหรับแผนการทำการตลาดนักท่องเที่ยวซาอุฯ ททท.จะร่วมมือกับ 3 สายการบินหลักในพื้นที่ตะวันออกกลาง ได้แก่ เอมิเรตส์ แอร์ไลน์, กาตาร์ แอร์เวย์ และเอติฮัด แอร์เวย์ส ที่มีเที่ยวบินเชื่อมโยงมาประเทศไทย เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มที่เคยเดินทางมาไทย ขณะที่สายการบินซาอุเดีย แอร์ไลน์ และการบินไทย เป็นอีก 2 สายการบินที่น่าจับตา
ประชากรชาวซาอุฯมีรายได้อยู่ในอัตราที่สูง นับเป็นปัจจัยส่งเสริมสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเดินทางออกนอกประเทศ โดยการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมีแนวโน้มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และรัฐบาลให้สวัสดิการกับประชาชนสูงในด้านสาธารณสุข โดยพบว่าชาวซาอุฯเดินทางมาเพื่อการตรวจรักษาพยาบาลในประเทศไทยเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 30% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดในแต่ละปี ขณะที่นิยมการท่องเที่ยวทะเล ชายหาด สถานบันเทิง ธรรมชาติ (ขี่ช้าง เที่ยวชมน้ำตก)
ส่วนกิจกรรมท่องเที่ยวที่นิยมมากที่สุด คือ การจับจ่ายสินค้าโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางซ้ำ นิยมเดินทางมาช็อปปิ้งทั้งสินค้าทั่วไปและสินค้าแบรนด์เนม และแหล่งท่องเที่ยวภายในประเทศไทยที่ได้รับความนิยม ได้แก่ กรุงเทพฯ 60.75% ภูเก็ต 57.83% พัทยา 43.96% พังงา 9.20% กระบี่ 8.07% เกาะสมุย 4.94% เชียงใหม่ 4.90% ผู้ว่า ททท.กล่าว
ด้าน นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) บอกว่า ตลาดซาอุฯถือเป็นตลาดใหญ่และมีศักยภาพในการใช้จ่ายสูง หากทั้ง 2 ประเทศได้เปิดให้มีการเดินทางท่องเที่ยวได้แล้ว เชื่อว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวซาอุฯ จะปรับเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าตัว จากตัวเลขในปี 2562 ที่มีประมาณ 30,000 คน จะเพิ่มขึ้น เป็น 300,000 คนได้แน่นอนหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลงแล้ว
เช่นเดียวกับ ดร.อดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) บอกว่า ส่วนของสมาคมด้านท่องเที่ยวและผู้ประกอบการต้องรีบหารือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อทำแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวในกลุ่มซาอุฯ ซึ่งที่ผ่านมาในช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี ททท.ก็มีโครงการกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวมุสลิมในกลุ่มตะวันออกกลางด้วยการเชิญผู้ประกอบการท่องเที่ยวไปออกงาน Arabian Travel Market (ATM) โดยเมื่อปีที่ผ่านมาจัดวันที่ 16 - 19 พฤษภาคม 2564 ณ Dubai International Convention and Exhibition Center (DICEC) ดังนั้น ปี 2565 เสร็จจาก Arabian Travel Market เราควรมีแผน Roadshow ที่ซาอุฯ เป็นโอกาสที่ดีเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว
ทั้งนี้ กลุ่มประเทศตะวันออกลาง ถือเป็นกลุ่มตลาดท่องเที่ยวที่ค่อนข้างมีระดับ สำหรับประเทศไทย ไม่ว่าจะ UAE หรือ ดูไบ ซึ่งจะเรียกกลุ่มประเทศเหล่านี้ว่า ‘อ่าว หรือ Gulf Country’ ทั้งคนในประเทศเยเมน และโอมาน ต่างชอบที่จะมาท่องเที่ยวประเทศไทยอยู่แล้ว หากมีประเทศ ซาอุฯ มาเพิ่มจึงยิ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพได้อย่างดี โดยซาอุฯ มีประชากร 20 ล้านคน ถือว่าน่าสนใจ ถ้ามีการเปิดท่องเที่ยวอาจมีเข้ามาเที่ยวประเทศไทยได้ถึงปีละ 4 แสนหรือ 5 แสนคน ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าสนใจมาก ๆ ทำให้ตลาดท่องเที่ยวกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง พวกโรงแรม สี่ดาว ห้าดาว ที่เป็นระดับ Luxury ก็จะได้อานิสงส์ก่อน
ขณะที่นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย บอกว่า การเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียของนายกรัฐมนตรี ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ภาคเอกชนจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะอาจเป็นการสร้างจุดเปลี่ยนของไทยในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ และช่วยทำให้การค้าของประเทศกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง ซึ่งการเดินทางเยือนของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับไทยได้อย่างมหาศาล ดังนั้น ภาคเอกชนไทยต้องใช้โอกาสอันดีนี้ต่อยอดและขยายผล ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศด้วย”.