ตลอดสามปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ก้าวขึ้นมาเป็นจุดหมายใหม่ที่ทั่วโลกจับตามองในอุตสาหกรรมแผ่นวงจรพิมพ์ (PCB) ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เกือบทุกชนิด ตั้งแต่สมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า เซิร์ฟเวอร์ศูนย์ข้อมูล ไปจนถึงเครื่องบินพาณิชย์และระบบป้องกันประเทศ ประเทศไทยที่ครั้งหนึ่งเคยขึ้นชื่อในฐานะ “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” กำลังเปลี่ยนบทบาทอย่างชัดเจน สู่การเป็นฐานการผลิตเทคโนโลยีระดับโลกที่มีมูลค่าเพิ่มสูงกว่าเดิมหลายเท่า
แรงผลักดันสำคัญมาจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ก่อให้เกิดความต้องการมหาศาลต่อเซิร์ฟเวอร์ AI, ชิปประมวลผล GPU และโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูลทั่วโลก ความร้อนแรงนี้ทำให้ผู้ผลิต PCB ต้องเร่งขยายกำลังการผลิตอย่างไม่หยุดหย่อน พร้อมกับมองหาทำเลใหม่ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาจีนและไต้หวันเพียงสองแห่ง และในสมการนี้ ไทยได้กลายเป็นคำตอบ ด้วยที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และระบบนิเวศการผลิตที่กำลังเติบโตอย่างเป็นรูปธรรม
รัฐบาลไทยเองก็มองเห็นโอกาสทองและพยายามต่อยอดกระแสการลงทุน โดยตั้งเป้าให้ประเทศก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิต PCB ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากจีน แม้ปัจจุบันจะต้องเผชิญมาตรการภาษีตอบโต้จากรัฐบาลทรัมป์ในอัตรา 19% แต่ผลกระทบต่อผู้ผลิตไทยกลับมีจำกัด เพราะ PCB ส่วนใหญ่ถูกส่งต่อไปยังเวียดนาม อินเดีย และประเทศอื่น ๆ เพื่อประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูป ก่อนจะกลับเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ในอีกเส้นทางหนึ่ง ปรากฏการณ์นี้ทำให้ไทยไม่เพียงแค่รอดพ้นจากแรงกดดัน แต่ยังพลิกสถานการณ์ขึ้นมาเป็นหนึ่งในศูนย์กลางใหม่ของห่วงโซ่อุปทานโลกในยุค AI อย่างเต็มภาคภูมิ
สำนักข่าว นิกเกอิ เอเชีย รายงานว่า ปัจจุบัน ไทยกำลังถูกจับตามองอย่างจริงจังในฐานะ “ศูนย์กลาง PCB แห่งใหม่ของโลก” การขยายตัวครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์การเยือนไต้หวันของแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ในปี 2022 และการซ้อมรบครั้งใหญ่ของจีนรอบเกาะไต้หวัน เหตุการณ์เหล่านี้ได้ตอกย้ำถึงความเสี่ยงจากการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานที่ผูกติดกับไต้หวันมากเกินไป ทั้งในด้านเซมิคอนดักเตอร์และ PCB
เพื่อบรรเทาความเสี่ยงดังกล่าว บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Microsoft, Amazon, Apple, HP และ Dell ต่างเร่งกระจายฐานการผลิต และจุดประกายยุทธศาสตร์ “Taiwan plus one” ที่หันมามองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นฐานสำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลก ไทยจึงก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักที่น่าจับตามอง
ข้อมูลจาก Industry, Science and Technology International Strategy Center (ISTI) ของไต้หวัน คาดว่ามูลค่าการผลิต PCB ในไทยจะเพิ่มจาก 3.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 สู่ 5.62 พันล้านดอลลาร์ในปี 2030 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 7.6% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกอย่างมีนัยสำคัญ
ในช่วงเวลาไม่ถึงสามปี มีผู้ผลิต PCB จากจีนและไต้หวันเกือบ 60 รายเข้ามาลงหลักปักฐานในไทยแล้ว รวมถึงบริษัทชั้นนำกว่า 30 อันดับแรกของโลก เช่น Unimicron, Zhen Ding Tech, Shennan Circuits และ Victory Giant การไหลบ่าของการลงทุนยังดึงดูดผู้จัดหาอุปกรณ์ วัสดุ และซอฟต์แวร์อัตโนมัติจากจีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น และไทย ให้เข้ามาเปิดสำนักงานสนับสนุนอีกหลายสิบแห่ง ส่งผลให้ระบบนิเวศของอุตสาหกรรม PCB เริ่มครบวงจรในประเทศมากขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
กรณีของ Victory Giant Technology (VGT) ถือเป็นตัวอย่างสำคัญ บริษัทจีนรายนี้เป็นซัพพลายเออร์หลักของ Nvidia ในด้าน PCB สำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI และการ์ดกราฟิก ปัจจุบันโรงงานแห่งใหม่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ห่างจากกรุงเทพฯ ราว 60 กิโลเมตร กำลังอยู่ระหว่างการติดตั้งอุปกรณ์ และคาดว่าจะสามารถเดินเครื่องผลิตได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี หลังจากเข้าซื้อโรงงานแรกจากกลุ่ม APCB ของไต้หวันเพียงไม่นาน การขยายตัวอย่างรวดเร็วสะท้อนถึงการแข่งขันที่ดุเดือดของผู้ผลิตจีนและไต้หวันที่กำลังเร่งย้ายกำลังการผลิตออกจากภูมิภาคเสี่ยงสูง
ผู้จัดการจาก Zhuhai Henger Microelectronic Equipment ผู้ผลิตอุปกรณ์ PCB และชิปของจีน เปิดเผยว่า “VGT ได้วางแผนคำสั่งซื้อสำหรับปีหน้าแล้ว โดยคาดว่าจะสั่งเครื่องจักรราว 100 เครื่องจากเรา เพื่อขยายกำลังผลิตทั้งในไทยและเวียดนาม” คำพูดนี้สะท้อนว่าการขยายโรงงานในไทยไม่ใช่แค่ระยะสั้น แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนระยะยาวในการสร้างเครือข่ายการผลิตที่หลากหลาย
ฝั่งไต้หวันก็ขยับไม่แพ้กัน Gold Circuit Electronics (GCE) ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์สำคัญของ Nvidia ในด้านถาดสวิตช์ ได้เดินเครื่องโรงงานแรกในไทยเต็มกำลังแล้ว ขณะที่ผู้บริหารจาก Ta Liang Technology ผู้ผลิตเครื่องเจาะ PCB ที่ให้บริการแก่ผู้เล่นชั้นนำ ย้ำว่า “ซัพพลายเออร์ที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทาน AI กำลังมีบทบาทสำคัญในการหล่อหลอมอุตสาหกรรม PCB ของไทย”
นอกจากนั้น บริษัทยักษ์ใหญ่รายอื่น ๆ ยังเดินหน้าทุ่มลงทุนต่อเนื่อง Charles Shen ประธาน Zhen Ding Tech เปิดเผยว่าการขยายในไทยเป็นส่วนสำคัญของงบลงทุนประวัติการณ์กว่า 60,000 ล้านดอลลาร์ไต้หวันใหม่ (ราว 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปีนี้และปี 2026 เพื่อตอบสนองดีมานด์ที่เพิ่มสูงขึ้นจากตลาด AI
ขณะที่ T.J. Tseng ประธาน Unimicron ก็ระบุว่าบริษัทได้เข้าซื้อที่ดินในไทยถึงห้าแปลงเพื่อรองรับการสร้างโรงงานใหม่ หากความต้องการตลาดแข็งแกร่งเพียงพอ ผลิตภัณฑ์ล็อตแรกจะครอบคลุมตั้งแต่ PCB สำหรับดาวเทียม เครื่องเล่นเกม ไปจนถึงการเปิดทางให้การผลิตแอ๊ดวานซ์ชิปซับสเตรต (advanced chip substrate) ย้ายเข้ามาในไทยในอนาคต
ทั้งนี้ แม้เม็ดเงินลงทุนครั้งใหญ่จากผู้ผลิต PCB ระดับโลกจะหลั่งไหลเข้าสู่ไทย และช่วยเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ให้แข็งแกร่งกว่าที่เคย แต่เส้นทางนี้ก็เต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งการขาดแคลนบุคลากรทักษะสูง ความต่างทางวัฒนธรรมการทำงาน และต้นทุนที่สูงกว่าคู่แข่ง
วิเชียร งามสุขเกษมศรี กรรมการผู้จัดการ Mitsubishi Electric Factory Automation Thailand เล่าว่า ความต่างเชิงวัฒนธรรมคือโจทย์สำคัญ โดยเฉพาะ “รูปแบบการทำงาน” ที่แรงงานไทยมักคุ้นชินกับความสมดุลระหว่างชีวิตกับงาน ขณะที่ผู้ผลิตจากจีนและไต้หวันกลับคาดหวังความเร็วและความเข้มข้นมากกว่า “บางครั้งลูกค้าจีนสั่งของแล้วบอกว่าต้องการทันที ทำให้ทีมงานของผมตกใจและบอกว่า ‘ไม่ได้ ๆ’ … แม้แต่ทีมขายจากจีนเอง เวลาเจอทีมโลจิสติกส์ไทยก็มีปัญหาปรับตัวในช่วงแรก”
นาย วิเชียร ย้ำว่าความต่างเหล่านี้จำเป็นต้องมีการปรับตัวหากต้องการทำงานกับลูกค้าจากจีนหรือไต้หวันอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมชี้ว่าแม้ไทยจะมีวิศวกรจำนวนมากในอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่ในสาย PCB ยังขาดแคลนอย่างชัดเจน ทำให้ไทยต้องเร่งแก้ปัญหาดังกล่าวเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม PCB ในอนาคต
นอกจากนี้ ความท้าทายด้านแรงงานยิ่งทวีความรุนแรงเมื่อ “การพูดภาษาจีนได้” กลายเป็นใบเบิกทางสำคัญ John Cronin ผู้จัดการคุณภาพของ WTT Technologies ระบุว่า วิศวกรและพนักงานออฟฟิศที่สื่อสารภาษาจีนได้กำลังเป็นที่ต้องการสูงสุด และสงครามค่าจ้างก็กำลังปะทุขึ้นจริง ผู้บริหารโรงงานวัสดุท้องถิ่นเผยว่า เงินเดือนผู้จัดการสายการผลิตที่มีประสบการณ์เพิ่มขึ้นเท่าตัวภายในเวลาเพียง 2-3 ปี จากราว 40,000 บาทเป็น 80,000-100,000 บาทต่อเดือน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาด
ขณะที่ผู้บริหารจีนในธุรกิจเครื่องจักรอัตโนมัติยอมรับว่า หากคำนวณทั้งประสิทธิภาพและสิทธิประโยชน์แล้ว ต้นทุนแรงงานในไทยสูงกว่าจีนถึงสามเท่า อีกทั้งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาคนจีนหรือไต้หวันที่เต็มใจย้ายมาทำงานประจำ บริษัทจึงต้องยอมเสนอแรงจูงใจและเงินอุดหนุนก้อนใหญ่เพื่อดึงดูดบุคลากร
Martin Leou ที่ปรึกษาสมาคมอุตสาหกรรม PCB ไทย และผู้คร่ำหวอดในแวดวงจีน–ไต้หวันมาหลายทศวรรษ มองว่า “การสร้างบุคลากรคือความท้าทายที่สำคัญที่สุด” สมาคมฯ จึงเร่งจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมที่มีสายการผลิตจริง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้เชิงปฏิบัติสำหรับบุคลากรรุ่นใหม่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และ PCB โดยมีแผนดึงผู้ผลิตอุปกรณ์และซัพพลายเออร์วัสดุเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อสร้างระบบนิเวศที่ครบวงจร
ในด้านซัพพลายเชน ผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ต่างยอมรับตรงกันว่าแม้ไทยจะมีโรงงานใหม่เกือบ 60 แห่งแล้ว ระบบนิเวศอุตสาหกรรม PCB ในไทยยังอยู่ในระยะตั้งไข่และต้องพึ่งพาการนำเข้าอุปกรณ์และวัสดุส่วนใหญ่ ผู้บริหารในแวดวงกว่า 20 ปีอธิบายว่า “วัสดุขั้นสูงทั้งหมดต้องนำเข้า อีกทั้งยังมีต้นทุนขนส่ง คลังสินค้า แรงงาน และความต่างด้านวัฒนธรรมการทำงานที่ต้องคำนึงถึง” เขาเปรียบสถานการณ์ของไทยตอนนี้ว่า “คล้ายกับจีนเมื่อราว 20-30 ปีก่อน ตอนที่ห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยียังเพิ่งเริ่มตั้งต้น”
ด้านอุปสงค์ KCE Electronics ผู้ผลิต PCB ไทยรายใหญ่ในตลาดยานยนต์ ยอมรับว่าตลาดโลกยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แม้เตรียมที่ดินรองรับการขยายโรงงานไว้แล้ว แต่ยังไม่ตัดสินใจลงทุนเพิ่มกำลังการผลิต ในทางกลับกัน Victory Giant ซึ่งมุ่งเน้นตลาด AI กลับขยายตัวรวดเร็ว จนมูลค่าตลาดพุ่งแตะ 233,000 ล้านหยวน (3.26 หมื่นล้านดอลลาร์) และก้าวขึ้นแซง Zhen Ding Tech ของไต้หวัน สะท้อนภาพการเปลี่ยนสมรภูมิแข่งขันจากยานยนต์ไปสู่ AI อย่างชัดเจน
นักวิเคราะห์ Yuan-Sung Chang จาก ISTI คาดว่าผู้ผลิตในไทยจะค่อย ๆ ปรับโฟกัสไปที่การผลิต PCB ระดับกลางถึงสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าการผลิตในระยะยาว แต่ก็เตือนว่า ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก ความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ และต้นทุนแรงงาน อาจถ่วงรั้งการเติบโต ขณะที่ Chiu Shih-fang จาก Taiwan Institute of Economic Research ประเมินว่าเส้นทางของไทยยังไม่ชัดเจนในการขึ้นเป็นศูนย์กลาง PCB เพราะความต้องการนอกตลาด AI ยังไม่มั่นคง และอาจถูกสั่นคลอนจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ
การแข่งขันในประเทศเองก็ทวีความดุเดือด ผู้ผลิตที่ผูกกับกระแส AI อย่าง Victory Giant และ GCE ได้เปรียบจากการมีออเดอร์รองรับ ขณะที่ผู้เล่นหน้าใหม่ที่เลือก “ตั้งโรงงานก่อนแล้วค่อยแย่งงาน” กลับต้องดิ้นรนท่ามกลางดีมานด์ยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภคที่ยังซบเซา
โดยสรุป แม้ไทยยังต้องเผชิญอุปสรรคมากมาย แต่หากสามารถเร่งพัฒนาทักษะแรงงาน ปรับตัวทางวัฒนธรรมองค์กร และสร้างระบบนิเวศการผลิตที่ครบวงจรได้สำเร็จ ประเทศก็มีโอกาสก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางใหม่ของห่วงโซ่อุปทานอิเล็กทรอนิกส์โลกในยุค AI และอาจถูกยกระดับเป็น “ฐานที่สาม” ของอุตสาหกรรม PCB ถัดจากจีนและไต้หวันในอนาคต
ที่มา: Nikkei Asia