กรณี น.ส น้ำทิพย์ (นามสมมติ) ป้าเด็กหญิงเอ และเด็กหญิงบี อายุประมาณ 15 ปี เดินทางเข้าร้องเรียนต่อสำนักงานพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์สมุทรสงครามว่าได้ถูกเจ้าอาวาส และเจ้าคณะตำบลวัดดังในเขตพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม ข่มขืน 2 เด็กหญิง ตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 5 ถึงปัจจุบัน กำลังจะขึ้นชั้น ม.3 มายาวนานกว่า 4 ปี
ป้าเด็กจึงนำเรื่องนี้ไปร้องเรียน สภ.เมืองสมุทรสงคราม เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 แต่ยังไม่มีอะไรคืบหน้า และได้ร้องเรียนสื่อมวลชน และ พม.จังหวัด ให้ช่วยติดตามสอบสวนหาข้อเท็จจริง และดำเนินคดีตามกฎหมายกับเจ้าอาวาสนั้น
วันที่ 29 พ.ย. 64 พระครูสิทธิกิจจากร เจ้าอาวาสวัดบางจะเกร็ง ตำแหน่งเจ้าคณะตำบลบางจะเกร็ง เขต 1 ได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาส 20 ปี และรับตำแหน่งเจ้าคณะตำบลปี 2561
พระอาจารย์ เปิดเผยว่า เด็กทั้งคู่จริง ๆ เป็นหลานของอาอาตมา เป็นลูกพี่ลูกน้องของแม่อาตมา ฝากฝั่งให้ช่วยเหลือดูแลเด็กทั้ง 2 คน แต่จริง ๆ เด็กก็ไม่ได้มาอยู่ที่วัดหรือมาช่วยงาน แต่ในช่วงโควิด-19 จึงให้มาช่วยงาน ตั้งแต่ 08.00 น. ถึงหลัง 11.00 น. และเรียนออนไลน์ก็เปิด Wi-Fi ให้เรียน แต่หลานไม่ค่อยดี หลานขอซื้อโทรศัพท์มือถือ อาตมาจึงให้ช่วยที่วัดให้ค่าตอบแทนวันละ 200 บาท แบ่งเป็นผ่อนมือถือ 100 บาท และช่วยเหลือเด็กทั้งคู่ในช่วงที่ผ่านมา
ส่วนในเรื่องที่ถูกกล่าวหาอาตมามีหลักฐานว่าเกิดจากบุคคลที่สามไม่หวังดีต่ออาตมา บุคคลนี้แนะให้เด็กพูดใส่ร้าย มีสคริปต์ให้เด็กพูด อาตมามีหลักฐานทุกอย่าง รวมไปถึงหลักฐานในตัวอาตมาที่ยืนยันว่าไม่มีทางกระทำกับเด็กได้แน่นอน ตอนนี้ได้เข้ามอบให้ทนายรวบรวมหลักฐานชี้แจงตำรวจ พร้อมเอาผิดแบบไม่บิดพริ้ว เพราะเสียชื่อเสียงและวงการสงฆ์ในเรื่องคดีความ อาตมาให้รายละเอียดมากไม่ได้ เพราะกังวลจะเสียรูปคดี
นอกจากนี้ อาตมาป่วยต่อมลูกหมาก โรคหัวใจ 5 ปี อยู่ระหว่างรอผลเป็นมะเร็งท่อปัสสาวะหรือไม่ หลักฐานที่มีคือภาพอวัยวะหดไม่แข็งตัวมานานหลายสิบปีแล้ว ไม่มีทางข่มขืนใครได้ และไม่มีความรู้สึกทางเพศแล้ว
น.ส.น้ำทิพย์ (นามสมมติ) ป้าเด็ก เปิดเผยว่า หลังพ่อแม่ของหลานเสียชีวิตตนก็รับเลี้ยงดูมาโดยตลอด กระทั่งเด็ก ๆ ขึ้น ป.5 คนข้างบ้านได้มาชวนเด็ก ๆ ไปทำงานที่วัด จากนั้นเจ้าอาวาสซึ่งตามสายเป็นญาติฝ่ายพ่อของตนก็มาขอรับส่งเสียเลี้ยงดูเด็ก ให้ค่าเทอมและเงินใช้ชีวิตประจำวัน ต่อมาล่าสุดก็ซื้อไอโฟน12 ให้เด็ก ซึ่งตนก็ยังงงว่าทำไมถึงเลี้ยงดูได้ดีขนาดนี้
กระทั่งล่าสุดเด็กเข้าแจ้งความกันเองที่สถานีตำรวจ โดยเด็กมีการไปปรึกษาพระรูปหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์ว่าเด็กเคยร้องขอความช่วยเหลือ จึงอาสาพาแจ้งความ แต่ยอมรับว่าตนไม่ทราบเรื่อง กระทั่งได้ยินเด็กคุยกันในห้อง ร้องไห้ และล็อกประตู จนทราบว่าเจ้าอาวาสจะใช้วิธีพูดจาหว่านล้อม และให้ค่าเทอมโดยผ่านหญิงสาวที่ใกล้ชิดกับเจ้าอาวาส และเป็นเพื่อนบ้านกับตนเป็นนกต่อ ซึ่งหญิงคนนี้สนิทกับครอบครัวตนมากจึงไว้ใจ ล่าสุดเเด็กโดนยึดโทรศัพท์ไปแล้ว วันนี้กลัวเรื่องเงียบ แต่ตนก็มีหลักฐานพร้อมสู้คดี ส่วนหลานก็ไม่อาย เพราะยืนยันว่าพูดความจริงที่ถูกหลอกไปกระทำอนาจาร ทุกครั้งที่ไปวัดโดนล้วงจับแต่ไม่โดนสอดใส่ เพราะทุกครั้งที่เห็นตนจะปัดออก และไม่ยอมก่อนหนี
