
นายจิมมี ไหล อดีตเจ้าพ่อสื่อฮ่องกง ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดจริงในข้อหาตามกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ 2 ข้อหา และข้อหายุยงปลุกปั่นที่โทษเบากว่าอีก 1 ข้อหา หลังการพิจารณาคดีครั้งประวัติศาสตร์ที่ใช้เวลาถึงสองปีสิ้นสุดลงแล้ววันนี้ (15 ธันวาคม 2568) อย่างไรก็ตาม คดีดังกล่าวถูกมองว่าเป็นมาตรการที่รัฐบาลจีนต้องการจำกัดเสรีภาพสื่อฮ่องกงให้อยู่ในการควบคุมของทางการจีน
ในการอ่านคำตัดสินวันนี้ ผู้พิพากษากล่าวว่า “ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นายไหลได้เก็บงำความขุ่นเคืองและความเกลียดชังต่อสาธารณรัฐประชาชนจีนมาเป็นเวลาหลายปีในชีวิตผู้ใหญ่ของเขา”
ศาลชี้ว่า การที่นายไหลวิ่งเต้นกับนักการเมืองสหรัฐฯ ในช่วงวาระแรกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นหลักฐานของการยุยงปลุกปั่นและการสมคบคิดกับกองกำลังต่างชาติ รวมถึงการประชุมของเขากับ ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้น รวมถึงไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศในขณะนั้นด้วย ตลอดจนความพยายามที่จะเข้าพบประธานาธิบดีทรัมป์ด้วยตนเอง
ผู้พิพากษาสรุปว่า นายไหลเป็นผู้บงการในการสมคบคิดกับต่างชาติและขบวนการทำลายรัฐบาลจีน ตามที่ระบุไว้ในข้อหาทั้ง 3 ข้อหา ซึ่งหลักฐานแสดงให้เห็นว่า “ความตั้งใจเดียวของนายไหลคือการพยายามทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนล่มสลาย” ผู้พิพากษากล่าวว่า พวกเขาจะประกาศวันกำหนดโทษในภายหลัง การสมคบคิดกับกองกำลังต่างชาติมีโทษจำคุกสูงสุดตลอดชีวิตภายใต้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ
ก่อนหน้าที่จะมีการอ่านคำตัดสิน ผู้พิพากษาได้เตือนทุกคนที่อยู่ในห้องให้รักษาความเงียบอย่างที่สุด โดยจิมมี ไหล ดูสงบตลอดเวลา มีเพียงแค่การโบกมือทักทายภรรยาและลูกชายในช่วงเริ่มต้น เขาไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใด ๆ เมื่อมีการอ่านคำตัดสิน แต่ได้ถอดแว่นและเช็ดใบหน้าก่อนที่จะถูกนำตัวออกจากห้องพิจารณาคดี
ตลอดการพิจารณาคดี อัยการกล่าวหานายไหลว่าใช้หนังสือพิมพ์แอปเปิล เดลี เรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรฮ่องกงและจีนในช่วงที่มีการประท้วงที่สร้างความวุ่นวายให้กับศูนย์กลางทางการเงินในปี 2019 โดยการประท้วงครั้งใหญ่ต่อเนื่องดังกล่าว มีขึ้นเพื่อต่อต้านร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน นับเป็นการชุมนุมที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของฮ่องกง และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาพลักษณ์จีน รวมถึงเศรษฐกิจและการเมืองของทั้งประเทศ
ปีต่อมา หลังจากการประท้วงใหญ่ จีนบังคับใช้ “กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฮ่องกง” ซึ่งประกาศใช้โดยรัฐบาลปักกิ่งในวันที่ 30 มิถุนายน 2020 เพื่อปราบปรามการกระทำที่จีนเห็นว่าเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ โดยกฎหมายนี้กำหนดโทษสำหรับ 4 อาชญากรรมหลัก ได้แก่ 1. การแบ่งแยกดินแดน 2. การบ่อนทำลายอำนาจรัฐ 3. การก่อการร้าย และ 4. การสมคบคิดกับกองกำลังต่างชาติหรือภายนอก
กฎหมายนี้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับคดีของจิมมี ไหล เนื่องจากเขาถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาหลัก 2 ข้อหาภายใต้กฎหมายนี้ ซึ่งรวมถึงข้อหา "การสมคบคิดกับกองกำลังต่างชาติ" ที่มีโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต
ทั้งนี้ นายจิมมี ไหล ถูกจับกุมภายใต้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติเมื่อปลายปี 2020 และใช้เวลามากกว่า 1,800 วันในเรือนจำความมั่นคงสูงสุด โดยส่วนใหญ่อยู่ในห้องขังเดี่ยว ในปี 2022 เขาเคยถูกตัดสินจำคุก 5 ปี 9 เดือน ในข้อหาฉ้อโกงซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ คดีของเขาถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากทั่วโลก รวมถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ซึ่งเคยลั่นวาจาว่าจะ "พาเขาออกมาให้ได้"
นายไหล มหาเศรษฐีที่สร้างฐานะด้วยตนเอง ปัจจุบันอายุ 78 ปี เป็นหนึ่งในนักวิจารณ์รัฐบาลจีนที่โด่งดังที่สุด และมีอิทธิพลทางความคิดต่อชาวฮ่องกงและชาวต่างชาติ
นายไหลเป็นผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์แทบลอยด์แอปเปิล เดลี (Apple Daily) ในปี 1995 ด้วยเนื้อหาที่โดดเด่นด้านรูปแบบข่าวสารที่มีสีสัน เข้าถึงง่าย และที่สำคัญที่สุด เป็นสื่อที่สนับสนุนประชาธิปไตยอย่างเปิดเผย แข็งขัน และเป็นที่รู้จักจากการโจมตีพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างดุเดือด แอปเปิล เดลี จึงกลายเป็นหนึ่งในหนังสือพิมพ์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุดและเป็นที่รู้จักกว้างขวางที่สุดในฮ่องกง
แต่ก่อนที่เขาจะเข้าสู่วงการสื่อ นายไหลสร้างฐานะจนเป็นมหาเศรษฐีจากอุตสาหกรรมเสื้อผ้า โดยเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์ค้าปลีกเสื้อผ้าชื่อดังระดับโลกอย่าง Giordano เขานำความมั่งคั่งมหาศาลที่ได้จากธุรกิจอื่นมาลงทุนและค้ำจุนอาณาจักรสื่อของเขา แม้จะเผชิญกับการคว่ำบาตรทางโฆษณาและการสูญเสียรายได้จำนวนมากเนื่องจากจุดยืนทางการเมือง ทำให้เขามีอำนาจในการกำหนดทิศทางของสื่อโดยไม่อิงกับอำนาจรัฐหรือผู้ลงโฆษณามากนัก
จากการกระทำที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นความกล้าหาญอย่างยิ่ง เขาจึงถูกมองว่า เป็นนักวิจารณ์พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่ง เขาใช้สื่อของตนเป็นเวทีในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและเสรีภาพของฮ่องกงอย่างต่อเนื่อง
การถูกดำเนินคดีและถูกจำคุกซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมถึงการที่สื่อของเขาถูกบังคับปิดตัวลงในปี 2021 ยิ่งตอกย้ำถึงอิทธิพลและความสำคัญของเขาในฐานะสัญลักษณ์ของเสรีภาพสื่อ และทำให้ฉายา "เจ้าพ่อสื่อ" ของเขายิ่งมีความหมายถึงอำนาจและอิทธิพลที่ไม่เพียงแค่ในทางธุรกิจ แต่ในทางการเมืองและความเชื่อมั่นด้วย