
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ จากทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน ร่วมกันยื่นมติเมื่อวันพุธที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา เพื่อขอสั่งระงับปฏิบัติทางทหารของสหรัฐฯ ต่อเวเนซุเอลา หากว่าไม่มีการอนุมัติจากสภาคองเกรสก่อน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศว่า ปฏิบัติการภาคพื้นดินในเวเนซุเอลาจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า
นับตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ ทหารสหรัฐฯ ดำเนินการโจมตีเรือที่ต้องสงสัยว่าขนยาเสพติดอย่างน้อย 21 ครั้ง ในทะเลแคริบเบียนและแปซิฟิก ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมอย่างน้อย 83 ราย หลังทรัมป์ยกระดับความเข้มข้นทางทหารต่อรัฐบาลเวเนซุเอลา ภายใต้การนำของประธานาธิบดีนิโกลัส มาดูโร
รายงานระบุว่า ทรัมป์ได้ชั่งใจตัวเลือกต่าง ๆ ที่มีต่อเวเนซุเอลา รวมถึงการเปิดฉากโจมตีดินแดน โดยรัฐบาลสหรัฐฯ อ้างว่า เป็นความพยายามเพื่อยับยั้งเครือข่ายค้ายาเสพติดผิดกฎหมายที่คร่าชีวิตประชาชนชาวอเมริกันเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม มาดูโรออกมาปฏิเสธความเชื่อมโยงต่อการค้ายาเสพติด
ทรัมป์เพิ่งให้สัมภาษณ์กับนักข่าวที่ทำเนียบขาวไปเมื่อสองวันก่อนหน้านี้ว่า การโจมตีภาคพื้นดินจะเริ่มต้นขึ้น “อีกไม่นาน”
เมื่อวานนี้ วุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครต ได้แก่ ทิม เคน จากเวอร์จิเนีย, ชัค ชูเมอร์ จากนิวยอร์ก และอดัม ชิฟฟ์ จากแคลิฟอร์เนีย รวมถึงแรนด์ พอล วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันจากรัฐเคนทักกี จึงได้ยื่นมติว่าด้วย “อำนาจในการทำสงคราม” ต่อวุฒิสภา เพื่อตอบโต้ถ้อยแถลงล่าสุดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
กลุ่มดังกล่าวพยายามหลายครั้งที่จะจำกัดท่าทีแข็งกร้าวของทรัมป์ต่อเวเนซุเอลา ก่อนหน้านี้เมื่อวันอังคาร พวกเขาระบุว่า จะยื่นมติฉบับใหม่เพื่อกดดันให้สภาคองเกรสต้องลงมติ หากรัฐบาลสหรัฐจะดำเนินการโจมตีทางทหาร แต่หลังจากทรัมป์ออกความเห็นล่าสุดเมื่อวันพุธ กลุ่มวุฒิสมาชิกก็ตัดสินใจเดินหน้ายื่นมติทันที
ชิฟฟ์ ระบุในแถลงการณ์ว่า “เรากำลังถูกลากให้เข้าสู่สงครามกับเวเนซุเอลาโดยไร้ซึ่งฐานกฎหมายและไร้การอนุมัติจากสภาคองเกรส วุฒิสภาต้องพร้อมที่จะหยุดสงครามที่ผิดกฎหมาย ซึ่งจะทำให้ชีวิตของทหารอเมริกันนับพันต้องตกอยู่ในความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น”
ตามข้อบังคับของวุฒิสภา มติอำนาจการทำสงครามถือเป็นมติที่มีสถานะพิเศษ หมายความว่า ต้องถูกนำขึ้นพิจารณาและลงมติภายในไม่กี่วันเท่านั้น
ประธานาธิบดีนิโกลัส มาดูโร ของเวเนซุเอลา กล่าวเมื่อวันพุธที่ 3 ธันวาคมว่า ตนได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เมื่อราว 10 วันก่อน โดยยืนยันว่าการพูดคุยครั้งนั้นเป็นไปอย่างให้เกียรติและเป็นมิตร พร้อมมองว่าอาจเป็นโอกาสเปิดช่องทางการทูตระหว่างสองประเทศ
มาดูโรกล่าวระหว่างการถ่ายทอดสดว่า หากการโทรครั้งนั้นหมายถึงการเริ่มต้นก้าวสู่การเจรจาอย่างให้เกียรติระหว่างสองประเทศ ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี การทูตก็เป็นสิ่งที่เรายินดีต้อนรับ
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันจันทร์ โดยอ้างอิงแหล่งข่าว 4 รายที่รู้ข้อมูลการสนทนาว่า มาดูโรบอกกับทรัมป์ว่าเขายินดีลงจากตำแหน่งหากเขาและครอบครัวได้รับการนิรโทษกรรมทางกฎหมายอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งรวมถึงการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ และยุติคดีสำคัญที่อยู่ระหว่างการพิจารณาที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)