
3 ธันวาคม 2568 ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน ยังคงไม่ยอมผ่อนปรนเงื่อนไขในข้อตกลงสันติภาพระหว่างยูเครนกับรัสเซีย แม้ว่าจะคุยคณะเจรจาของทรัมป์ ผู้เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยนานกว่า 5 ชั่วโมง
การหารือกันนาน 5 ชั่วโมงระหว่าง 2 ประธานาธิบดีเกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 2 ธันวาคม 2568 ที่กรุงมอสโก รัสเซีย ระหว่างประธานาธิบดีปูตินแห่งรัสเซีย และสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษของทรัมป์ พร้อมจาเร็ด คุชเนอร์ ลูกเขยของทรัมป์เข้าร่วมด้วย โดยการเจรจาของตัวแทน 2 ชาติมีล่ามเป็นสื่อกลาง
การพูดคุยดำเนินจนล่วงเลยเวลาเที่ยงคืนเข้าวันที่ 3 ธันวาคม และเมื่อการสนทนาสิ้นสุดลง ที่ปรึกษาระดับสูงด้านนโยบายต่างประเทศของปูติน ยูริ อูชาคอฟก็กล่าวว่า “ยังไม่มีการประนีประนอมเกิดขึ้น”
“ร่างข้อเสนอของฝ่ายอเมริกันบางส่วนดูเหมือนจะยอมรับได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังต้องมีการหารือ [...] และถ้อยคำบางอย่างที่เสนอมาไม่อาจยอมรับได้สำหรับเรา — ดังนั้นงานจะต้องดำเนินต่อไป” อูชาคอฟกล่าวกับผู้สื่อข่าว
เขาเผยว่า ประธานาธิบดีรัสเซียมีท่าทีในเชิงลบต่อข้อเสนอหลายข้อของสหรัฐฯ และบอกว่าในขณะนี้ยังไม่มีแผนการประชุมระหว่างปูตินและทรัมป์ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยืนยันว่า การเจรจาเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ และยังมีโอกาสอีกมากด้านเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐกับรัสเซีย
สำหรับปัญหา “ดินแดน” ปัญหาใหญ่ที่สองประเทศยืนยันว่าไม่สามารถประนีประนอมกันได้ก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข พื้นที่ที่เป็นประเด็นคือ ดอนบาส (Donbas) ของยูเครนบริเวณเขตแดนติดกับรัสเซีย ซึ่งรัสเซียได้ใช้กำลังรุกเข้ายึดครองเอาไว้บางส่วน
เพื่อจะบรรลุข้อตกลงสันติภาพ รัสเซียยืนยันให้ตนได้ครอบครองดอนบาสอย่างเป็นทางการทั้งหมด ด้านยูเครนปฏิเสธการสละดินแดนทุกกรณี และกล่าวว่า การกระทำของรัสเซียไม่ต่างกับการล่าอาณานิคมยุคใหม่
สาเหตุที่ปูตินต้องการดอนบาสอย่างมาก มาร์ก เอฟ. แคนเซียน ที่ปรึกษาอาวุโสประจำแผนกกลาโหมและความมั่นคง แห่งศูนย์ยุทธศาสตร์และการศึกษานานาชาติเคยกล่าวไว้กับสำนักข่าว Al Jazeera ในบทความเดือนสิงหาคม 2568 ว่า เพราะดอนบาสเป็นพื้นที่ที่มีโอกาสทางเศรษฐกิจอยู่
“ช่วงกลางศตวรรษที่ 20 พื้นที่ดอนบาสพัฒนาอย่างมากในด้านอุตสาหกรรม แม้ว่าจะเสื่อมถอยไปบ้างในช่วงสงครามเย็นก็ตาม” ที่ปรึกษาความมั่นคงกล่าว
เขาเสริมว่า ดอนบาสยังมีทรัพยากรแร่ และพื้นที่การเกษตรที่ดีมาก ๆ แห่งหนึ่งของโลก และที่สำคัญมากอีกข้อ เอริก เฮอร์รอน นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเวสต์เวอร์จิเนียกล่าวในบทความเดียวกันว่า เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ มีเมืองท่ามาริอูปอลช่วยให้เข้าถึงทะเลดำได้ พื้นที่แห่งนี้จึงเป็น “สมรภูมิที่ยืดเยื้อที่สุดในสงคราม”
ด้านรัสเซียชี้ว่า ในพื้นที่นี้ ประชากรจำนวนมากพูดภาษารัสเซีย บางคนเป็นผู้อพยพหรือลูกหลานผู้อพยพในช่วงสงครามเย็น และอ้างว่า รัฐบาลยูเครนปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไม่เป็นธรรม หนึ่งในแกนหลักที่รัสเซียใช้ก่อสงครามยาวนาน
อย่างไรก็ตาม คำกล่าวนั้นไม่มีหลักฐาน และนักวิชาการบางคนมองว่า การยึดครองดอนบาสเป็นวิธีการยั่วยุชาติตะวันตกของรัสเซีย
สงครามรัสเซีย-ยูเครนเป็นสงครามที่นองเลือดที่สุดในยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบันดำเนินต่อเนื่องมาเกือบ 4 ปี สหภาพยุโรปจึงเป็นพันธมิตรของยูเครนที่เข้ามาสนับสนุนการตัดสินใจ และชี้ว่า การแลกเปลี่ยนดินแดนจะเกิดขึ้นได้ภายใต้การตัดสินใจของคนยูเครนเท่านั้น
ด้านสหรัฐฯ เอง มีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย และตั้งเป้าให้การยุติสงครามในยุโรปครั้งนี้เป็นหนึ่งในนโยบายต่างประเทศข้อสำคัญที่สุด โดยทรัมป์ได้ร่าง “ข้อเสนอสันติภาพ 28 ข้อออกมา”
แม้ว่าจะยังไม่เปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณชนถึงแผน 28 ข้อ แต่ก็มีรายละเอียดบางส่วนหลุดรอดออกมา พร้อมกับเสียงสนทนาของวิตคอฟฟ์และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัสเซีย ทำให้ยูเครนและสหภาพยุโรปแสดงความกังวลว่า สหรัฐฯ เข้าข้างรัสเซียหรือไม่
ก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของฮังการี ปีเตอร์ ซิยาร์โต ได้เตือนว่า ยุโรปกำลังเตรียมทำสงครามกับรัสเซีย ซึ่งปูตินตอบกลับเมื่อวันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน 2568 ว่า ไม่อยากทำสงครามกับยุโรป แต่หากยุโรปต้องการ รัสเซียก็พร้อมตอบโต้
“ถ้ายุโรปอยากจะก่อสงครามกับเราขึ้นมา สงครามนั้นจะจบอย่างรวดเร็วทีเดียว และรัสเซียคงไม่มีใครให้เจรจาด้วยอีก” ปูตินกล่าวกับผู้สื่อข่าว
เขายังบอกด้วยว่า สงครามที่ดำเนินอยู่กับยูเครนนั้นไม่ใช่สงครามเต็มรูปแบบ แต่หากต้องเผชิญหน้ากับยุโรปโดยตรง รัสเซียจะไม่ใช้วิธีนี้
ปูตินกล่าวว่า ยุโรปตั้งใจเสนอข้อเสนอที่รู้ว่ารัสเซียไม่มีทางยอมรับได้ เพื่อขัดขวางการสร้างสันติภาพของทรัมป์ และเพื่อกล่าวหารัสเซียว่าไม่ต้องการสันติภาพ
ตั้งแต่ปี กุมภาพันธ์ 2022 รัสเซียรุกรานยูเครนอย่างต่อเนื่อง และส่งทหารหลายหมื่นคนเข้าไปในพื้นที่ยูเครน เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เปิดเผยว่า สองประเทศสูญเสียคนไปรวมกันมากกว่า 1.2 ล้านคน แต่ไม่มีฝ่ายใดเปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการ