Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
อินโดฯเจ็บหนักจากน้ำท่วม ปี68 คาดสูญ 1.32 แสนล้านบาท ดับแล้ว 744 ชีวิต
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

อินโดฯเจ็บหนักจากน้ำท่วม ปี68 คาดสูญ 1.32 แสนล้านบาท ดับแล้ว 744 ชีวิต

3 ธ.ค. 68
17:36 น.
แชร์

เศรษฐกิจอินโดนีเซียกำลังเผชิญแรงกระแทกครั้งใหญ่จากพายุไซโคลนและอุทกภัยที่ซัดกระหน่ำพื้นที่ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา โดยสถาบันวิจัยอิสระประเมินว่า ความเสียหายทางเศรษฐกิจในปีนี้สูงถึง 68.67 ล้านล้านรูเปียห์ หรือราว 1.32 แสนล้านบาท ถือเป็นผลกระทบทางเศรษฐกิจครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปี และเริ่มสะท้อนความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของประเทศต่อภัยพิบัติที่ทวีความถี่และความรุนแรงมากขึ้นจากภาวะโลกรวน

ศูนย์ศึกษาด้านเศรษฐกิจและกฎหมาย (Center of Economic and Law Studies: CELIOS) ระบุว่า มูลค่าความเสียหายดังกล่าวคิดเป็น 0.29% ของประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ปี 2568 ก่อนเกิดภัยพิบัติ และมีความเป็นไปได้สูงที่แรงกระแทกทางเศรษฐกิจจะยืดเยื้อไปจนถึงปี 2569 เนื่องจากสภาพอากาศสุดขั้วในอินโดนีเซียยังไม่มีแนวโน้มคลี่คลาย และผลกระทบต่อภาคการผลิตและการบริโภคยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น

พายุซ้ำซ้อน ภูเขาไฟปะทุ ซ้ำเติมหายนะในสุมาตรา

เหตุอุทกภัยในอินโดนีเซียเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 25 พฤศจิกายน เมื่อจังหวัดสุมาตราเหนือเผชิญพายุรุนแรงจากอิทธิพลของพายุไซโคลนเขตร้อน “เซนยาร์” และ “โกโต” ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องและลมแรงในหลายพื้นที่ ต่อมาในวันที่ 27 พฤศจิกายน จังหวัดอาเจะห์ถูกถล่มก่อนที่สุมาตราตะวันตกจะเผชิญสถานการณ์ในวันถัดมา กลายเป็นห่วงโซ่ของน้ำท่วมฉับพลัน ดินถล่ม และความเสียหายในวงกว้าง หลายพื้นที่ยังคงมีน้ำท่วมขังต่อเนื่องจนถึงวันอังคาร เนื่องจากการระบายน้ำทำได้อย่างจำกัด

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อช่วงบ่ายวันอังคาร ภูเขาไฟมราปีในจังหวัดสุมาตราตะวันตก ซึ่งเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นในอินโดนีเซีย ได้ปะทุพ่นเถ้าถ่านปกคลุมชุมชนในเขตอากัม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมอยู่แล้ว แม้ความเสียหายจากการปะทุยังไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวได้เพิ่มภาระด้านสาธารณสุขและการอพยพประชาชนในพื้นที่อย่างมีนัยสำคัญ

ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติอินโดนีเซียระบุว่า พายุไซโคลนและน้ำท่วมคร่าชีวิตประชาชนแล้วอย่างน้อย 744 ราย มีผู้บาดเจ็บ 2,600 ราย ประชาชนกว่า 3.3 ล้านคนได้รับผลกระทบ ในจำนวนนี้ราว 1.1 ล้านคนต้องอพยพออกจากที่พักอาศัย และยังมีผู้สูญหายอีก 551 ราย ขณะที่ความเสียหายทางกายภาพขยายวงกว้างไปถึงบ้านเรือนอย่างน้อย 9,400 หลัง ซึ่งในจำนวนนี้กว่า 3,600 หลังเสียหายหนัก โรงเรียน 323 แห่ง และสะพาน 299 แห่ง โดยตัวเลขทั้งหมดอาจเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้าถึงหลายพื้นที่ห่างไกล

ในช่วงเวลาเดียวกัน ศรีลังกา ไทย และเวียดนาม ต่างประสบภัยจากพายุไซโคลนและพายุฝนอย่างหนักเช่นกัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยราย สะท้อนภาพปรากฏการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่กำลังถาโถมภูมิภาคเอเชียในวงกว้าง

โลจิสติกส์สะดุด อุตสาหกรรมชะงัก เสี่ยงฉุด GDP ทั้งประเทศ

CELIOS ระบุว่า ต้นตอของความเสียหายทางเศรษฐกิจในเกาะสุมาตรามาจากการหยุดชะงักอย่างหนักของระบบขนส่งและโลจิสติกส์ เมื่อเส้นทางคมนาคมหลายสายถูกตัดขาดหรือไม่สามารถใช้งานได้ การลำเลียงสินค้าอุปโภคบริโภคและวัตถุดิบเข้าสู่ภาคการผลิตจึงสะดุดโดยตรง ผลกระทบไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะพื้นที่ประสบภัย แต่ขยายวงกว้างไปยังจังหวัดอื่น จากปัญหาสินค้าขาดแคลนและปัจจัยการผลิตไม่เพียงพอ

รายงานยังเตือนว่า ความเสียหายในสุมาตราเหนือจะส่งแรงกระเพื่อมไปยังจังหวัดโดยรอบ เนื่องจากทำให้การไหลเวียนของสินค้าอุปโภคบริโภคชะลอตัว และกดดันอุปสงค์ภาคอุตสาหกรรมให้อ่อนแรงลง เพราะสุมาตราเหนือถือเป็นหนึ่งในศูนย์กลางอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศบนเกาะสุมาตรา

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติอินโดนีเซียตอกย้ำถึงน้ำหนักทางเศรษฐกิจของพื้นที่ประสบภัยอย่างชัดเจน โดยสามจังหวัดที่ได้รับผลกระทบคิดเป็นสัดส่วนราว 7.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 3 ปี 2568 ขณะที่กรุงจาการ์ตาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 16.26% พื้นที่บนเกาะชวาส่วนอื่น ๆ อีก 42.15% และสุมาตราส่วนที่เหลือ 13.42% ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าแรงกระแทกจากภัยพิบัติในสุมาตราไม่ได้เป็นเพียงปัญหาในระดับท้องถิ่น แต่กำลังกระทบฐานเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญ

ขณะเดียวกัน ความเสียหายยังแผ่ขยายไปยังภาคเกษตรกรรม ภาคก่อสร้าง และภาคการค้า (ไม่รวมยานยนต์) โดย CELIOS ประเมินว่า มูลค่าความสูญเสียของทั้งสามภาคส่วนรวมกันสูงถึง 2.2 ล้านล้านรูเปียห์ ท่ามกลางความกังวลว่า การฟื้นฟูบ้านเรือน ถนน สะพาน และพื้นที่ทำกิน จะต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในระยะต่อไป และอาจกลายเป็นภาระทางการคลังของรัฐในช่วงของการฟื้นตัวหลังภัยพิบัติ

จากการประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้น นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์เริ่มออกมาเตือนว่า รัฐบาลควรทบทวนและปรับประมาณการ GDP ให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงมากขึ้น โดยศารีฟุดดิน การิมี ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์การพัฒนาจากมหาวิทยาลัยอันดาลาส ชี้ว่า ภัยพิบัติครั้งนี้ไม่ใช่เพียงความเสี่ยงในเชิงสมมติฐานอีกต่อไป แต่เป็น “แรงสั่นสะเทือนทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริง” เนื่องจากทั้งน้ำท่วมและดินถล่มได้ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก โครงสร้างพื้นฐานได้รับความเสียหายในวงกว้าง และประชาชนจำนวนมากต้องอพยพออกจากพื้นที่

เขายังระบุด้วยว่า สมมติฐานเดิมที่ใช้ในการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นด้านการบริโภค การลงทุน หรือผลผลิตในภาคปฐมภูมิ ล้วนไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันอีกต่อไป หากยังยึดกรอบเดิมอาจทำให้การประเมินทิศทางเศรษฐกิจคลาดเคลื่อน และส่งผลต่อการกำหนดนโยบายในระยะต่อไป

ด้านเตกู รีฟกี นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจและสังคม มหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย เห็นพ้องว่า เป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ 5.2% แทบไม่เหลือความเป็นไปได้ ท่ามกลางข้อเท็จจริงที่ว่าสุมาตราเป็นเกาะที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองรองจากชวา

ขณะเดียวกัน สำนักงานอุตุนิยมวิทยา ภูมิอากาศ และธรณีฟิสิกส์ (BMKG) เตือนว่า สภาพอากาศที่เอื้อต่อการก่อตัวของพายุไซโคลนจะดำเนินต่อไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ โดยมีความเสี่ยงที่พายุจะก่อตัวจากน่านน้ำตอนใต้ของประเทศ และอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่กว้าง ตั้งแต่สุมาตราตอนใต้ ชวา บาหลี นูซาเต็งการา มาลูกู ตลอดจนปาปัวกลางและปาปัวใต้

ด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติยังเตือนถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียผลผลิตทางการเกษตรในช่วงปลายปี โดยคาดว่าพื้นที่เก็บเกี่ยวข้าวจะลดลงอย่างรวดเร็วจาก 860,000 เฮกตาร์ในเดือนตุลาคม เหลือ 600,000 เฮกตาร์ในเดือนพฤศจิกายน และลดลงต่อเนื่องถึงเพียง 440,000 เฮกตาร์ในเดือนธันวาคม ขณะที่ฝนตกหนักมีแนวโน้มยืดเยื้อถึงเดือนมกราคม 2026

ทั้งนี้ แม้ตัวเลขความเสียหายจาก CELIOS จะสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อสังคมอินโดนีเซีย แต่รัฐบาลอินโดนีเซียกลับยังหลีกเลี่ยงการแสดงความเห็น โดยระบุว่ายังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ ในขณะที่หลายพื้นที่กำลังประสบปัญหาขาดแคลนทั้งกำลังคนและงบประมาณในการรับมือภัยพิบัติ เนื่องจากงบประมาณท้องถิ่นถูกตัดลดจากการปรับงบโอนของรัฐบาลกลาง เพื่อนำไปสนับสนุนนโยบายเรือธงของประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต อาทิ โครงการอาหารฟรี

สถานการณ์ดังกล่าวได้จุดกระแสเรียกร้องให้รัฐบาลกลางประกาศ “ภัยพิบัติระดับชาติ” เพื่อเปิดทางให้ระดมทรัพยากรขนาดใหญ่และรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ โดยผู้นำท้องถิ่นหลายแห่งในอาเจะห์ยอมรับว่าขีดความสามารถทางการคลังของตนได้ถึงจุดอ่อนล้า

เตกู ราชา เกอมางัน ผู้ว่าการเขตนากันรายา เปิดเผยว่า เขาได้ยื่นหนังสือแจ้งภาวะไร้ความสามารถทางการคลังตั้งแต่วันที่สองของภัยพิบัติ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลกลางเร่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติ “เราหวังว่าประธานาธิบดีจะตัดสินใจโดยเร็ว เพื่อให้การช่วยเหลือสามารถขยายวงได้อย่างเต็มกำลัง โดยเฉพาะในจังหวัดอาเจะห์” เขากล่าวในการให้สัมภาษณ์สดทางสถานีโทรทัศน์ Kompas TV


แชร์
อินโดฯเจ็บหนักจากน้ำท่วม ปี68 คาดสูญ 1.32 แสนล้านบาท ดับแล้ว 744 ชีวิต