
ท่ามกลางภูมิศาสตร์การเมืองโลกที่แบ่งขั้วชัดเจน โดยมีจีนและสหรัฐฯ ยืนอยู่สองฟากอำนาจ ทวีความตึงเครียดด้วยกำแพงภาษีและสงครามการค้าที่ลุกโชนตลอด 5 ปีที่ผ่านมา คำถามหนึ่งที่ผุดขึ้นในใจหลายคนคือ แล้วประเทศไทยควรไปอย่างไรต่อ? เศรษฐกิจจึงจะดำรงอยู่ได้
ศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร ASEAN FOUNDATION แนะคำตอบข้อนี้เอาไว้ที่งาน SPOTLIGHT DAY 2025 ในการเสวนาหัวข้อ “THAILAND’S POSITION IN THE NEW WORLD ORDER จุดยืนของไทยในวันที่โลกแบ่งขั้ว” ว่าต้องทำอย่างไรเศรษฐกิจไทยจึงจะไปต่อได้
แม้ภาพการแบ่งขั้วจะทำให้เรานึกถึงการแบ่งโครงสร้าง “Global North” ที่นำโดยสหรัฐฯ เสริมทัพด้วยสหภาพยุโรป (EU) ญี่ปุ่น เกาหลี และประเทศที่พัฒนาแล้ว กลุ่มนี้มีความร่วมมือทางเศรษกิจรวมกันคือ OECD และด้านความมั่นคงผ่าน NATO กลุ่มนี้อาจารย์ปิติเปรียบไว้ว่าคือ “โจโฉ” ผู้เป็นเจ้าของระเบียบ แต่ถึงจุดหนึ่งก็อาจทรยศระเบียบของตนได้
ต่อมาคือ “Global South” หรือเล่าปี่ เพราะคือ “เจ้าปลายแถวผู้ยากจน ยากจะเติบโต แต่ก็โตขึ้นมาได้” นำโดยจีน มีรัสเซีย อินเดีย บราซิลหนุนทัพ มีความร่วมมือทางเศรษฐกิจคือ BRICS และความร่วมมือด้านความมั่นคงคือ Shanghai Cooperation Organization
และฝ่ายสุดท้ายตามคำอธิบายของอาจารย์ปิติคือ “ซุนกวน” หรือกลุ่มประเทศมุสลิม เนื่องจากเป็นผู้กุมทรัพยากร มีตลาดใหญ่ แรงงานมาก ซึ่งอาจารย์ชี้ว่าไม่ได้จำกัดแค่ตะวันออกกลาง แต่ยังรวมกลุ่มประเทศมุสลิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ และแอฟริกาเข้าไว้ด้วย
ส่วนรัสเซีย ประเทศดินแดนขนาดใหญ่ที่มีอำาจทางการทหารมาก และเป็นความน่าปวดหัวของสหภาพยุโรปในขณะนี้ อาจารย์ปิติชี้ว่า หากมองในมุมเศรษฐกิจ ยังไม่ถือว่าเป็นขั้วอำนาจใหม่ เพราะ GDP ประเทศยังไม่เทียบเท่ารัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ หรือใกล้เคียงมณฑลกวางตุ้งของจีนด้วยซ้ำไป
“สงครามเย็นครั้งที่สองคือ โลกเหนือและโลกใต้พยายามแย่งกันสร้างพันธมิตรในโลกมุสลิม และประเทศไทยอยู่ท่ามกลางสามขั้วนี้” อาจารย์ปิติอธิบาย
อาจารย์ปิติกล่าวว่า ความแตกแยกกันของก๊กต่าง ๆ ในโลกสร้างปัญหาในโลกเพิ่มอีก 6 ข้อ ซึ่งสามารถสรุปได้เป็นปัญหา 6D คือ:
“ไทยจะไปต่อได้ ด้วยการถ่วงดุลอำนาจทางยุทธศาสตร์ ซึ่งประเทศใกล้บ้านเราที่สุดก็คือจีน ดังนั้นเราก็ต้องรักษาระยะห่าง ไม่ใช่ถูกครอบงำโดยจีน ส่วนประเทศที่มีแสนยานุภาพระดับโลกอย่างสหรัฐฯ เราก็ต้องรักษาระยะด้วยเช่นเดียวกัน แต่การจะรักษาระยะ และถ่วงดุลอำนาจได้ เราก็ต้องน่าสนใจด้วย” อาจารย์กล่าว
การสร้างความน่าสนสนใจให้แก่ประเทศไทยเป็นประเด็นที่น่าสนใจ ซึ่งอาจารย์ปิติได้สรุปและแนะนำวิธีสร้างความ “น่าสนใจ” เอาไว้เป็นตัวย่อ 6E ได้แก่:
6E นี้เป็น 6 ข้อที่อาจารย์ปิติชี้ว่า จะช่วยปรับโครงสร้างประเทศไทยได้ดี ทั้งยังช่วยถ่วงอำนาจกับประเทศมหาอำนาจได้อีกด้วย
หากเรามองกราฟการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอาเซียน จะพบว่า ไทยเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่าประเทศอื่นส่วนใหญ่ ทั้งที่ประเทศในภูมิภาคนี้น่าจะมีเงื่อนไขเศรษฐกิจคล้ายกัน จึงนำมาสู่คำถามว่า เศรษฐกิจไทยโตช้าเพราะอะไร ข้อนี้อาจารย์ปิติอธิบายไว้ว่าอาจเป็นเพราะไทยยังใช้ศักยภาพได้ไม่เต็มที่
“เราอาจยังใช้ศักยภาพของเราได้ไม่เต็มที่อย่างที่ควรจะทำ ซึ่งต้องปลดล็อก และล็อกสำคัญคือเรื่องของธรรมาภิบาล” อาจารย์กล่าว และเน้นว่าการปลดล็อกจำเป็นต้องใช้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
ส่วนในด้านบุคลากร อาจารย์ปิติเน้นยำว่า ประเทศไทยต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในทุกภาคส่วน ได้แก่: