Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ปมไต้หวันทำจีน-ญี่ปุ่นเดือดปะทุ นายกฯ พูดพล่อยหรือมีรอยร้าวซ่อนอยู่
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ปมไต้หวันทำจีน-ญี่ปุ่นเดือดปะทุ นายกฯ พูดพล่อยหรือมีรอยร้าวซ่อนอยู่

22 พ.ย. 68
10:07 น.
แชร์

หลังจากนางซานาเอะ ทาคาอิจิ ผู้นำคนใหม่ของญี่ปุ่นเพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ ก็ได้แสดงท่าทีที่เรียกได้ว่า “ข้ามเส้น” รัฐบาลจีนไปแล้ว ในประเด็นที่อ่อนไหวอย่างไต้หวัน ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา หลังจากที่นายกฯ หญิงของญี่ปุ่นออกตัวแรงว่าอาจใช้การตอบโต้ทางทหาร หากจีนรุกรานไต้หวัน จีนก็ได้ออกมาตรการที่แสดงความโกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรง

แรกเริ่มอาจเป็นการแถลงประณาม เรียกร้องให้ผู้นำญี่ปุ่นถอนคำพูด แต่ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้นกลายเป็นมาตรการลงโทษทางการทูต ล่าสุด จีนตัดสินใจระงับการประชุมใหญ่ในเวทีระดับนานาชาติถึงสองเวที กล่าวคือการประชุมทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตญี่ปุ่น และนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ของจีน เป็นอันต้องยกเลิกไป รวมถึงการประชุมไตรภาคีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมแห่งประเทศจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี เดิมมีกำหนดจัดขึ้นที่มาเก๊าในวันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2568 ก็ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด

เมื่อวันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ผู้แทนถาวรของประเทศจีนประจำสหประชาชาติ  นายฟู่ ชง แถลงต่อการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ระบุว่า ประเทศญี่ปุ่นนั้น "ไม่มีคุณสมบัติโดยสิ้นเชิง" ที่จะมีที่นั่งในฐานะสมาชิกถาวรของ UNSC พร้อมแถลงเดือดว่า “คำกล่าวของนางซานาเอะ ทาคาอิจิเกี่ยวกับไต้หวันนั้น ผิดพลาดและอันตรายอย่างยิ่ง รัฐบาลจีนถือเป็นการแทรกแซงกิจการภายในอย่างร้ายแรง และเป็นการละเมิดหลักการจีนเดียว”

นอกจากนี้ จีนยังออกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างแข็งกร้าว ไม่ว่าจะเป็นการออกคำเตือนการเดินทางต่อญี่ปุ่น โดยเรียกร้องให้พลเมืองงดเว้นการเดินทางไปเยือน เนื่องจากความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ "ร้ายแรง" ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวประมาณ 500,000 คนยกเลิกตั๋วเครื่องบิน ไปจนถึงคำสั่งระงับการนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่น อีกทั้งยังไม่นับรวมคำสั่งถอดภาพยนตร์ญี่ปุ่นออกจากโรงหนังด้วย

Spotlight ชวนวิเคราะห์ เหตุใดไต้หวันจึงเป็น ‘จุดอ่อน’ ทำสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่นขาดสะบั้น จุดเริ่มต้นคือนายกฯ พูดพล่อยหรือมีรอยร้าวฝังอยู่ลึกกว่านั้น

จีนกังวลต่อ ญี่ปุ่น-ไต้หวัน เป็นทุนเดิม

ความโกรธแค้นนี้ ดูเหมือนจะถูกกำหนดอย่างรอบคอบ เพื่อส่งคำเตือนไปยังญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขามีจุดยืนที่ขัดแย้งกับจีนในประเด็นไต้หวัน ท่าทีของจีนสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลที่ฝังลึกของรัฐบาลปักกิ่งเกี่ยวกับศักยภาพทางทหารของไต้หวันที่อาจเปลี่ยนแปลงไป หากได้รับแรงสนับสนุนจากกลายประเทศในเอเชีย

ในขณะที่พันธมิตรของสหรัฐฯ เร่งเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมและการประสานงานเพื่อรับมือกับแสนยานุภาพทางทหารที่เพิ่มขึ้นของตนเอง ญี่ปุ่นที่เป็นพันธมิตรอันแน่นแฟ้นกับสหรัฐฯ และมีจุดยุทธศาสตร์ใกล้ชิดไต้หวันที่สุด จึงกลายเป็นประเทศที่ปลุกความกังวลต่อจีนมากที่สุด บวกกับความเกลียดชังที่ฝังรากลึกมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 ซึ่งจักรวรรดิญี่ปุ่นได้เข้าบุกรุก ยึดครองและก่ออาชญากรรมโหดร้ายต่อจีนและหลายทศวรรษก่อนหน้านั้นก็ได้เข้ายึดครองไต้หวัน ซึ่งเป็นจุดเจ็บปวดสำคัญที่จีนจำฝังใจว่าเป็น “ศตวรรษแห่งความอัปยศ”

การสังหารหมู่นานกิง (Nanjing Massacre หรือ Rape of Nanking) ในปี 1937 เป็นเหตุการณ์ที่ทหารญี่ปุ่นสังหารพลเรือนและเชลยศึกชาวจีนจำนวนมาก ประมาณการตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงมากกว่า 300,000 คน และมีการข่มขืน ทรมาน และทำลายล้างอย่างกว้างขวางในเมืองนานกิง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจีนในขณะนั้น หน่วยงานลับของญี่ปุ่นที่ทำการทดลองทางชีวภาพและเคมีกับมนุษย์ ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน อย่างโหดร้ายและไร้มนุษยธรรม รวมไปถึงการบังคับผู้หญิงจากประเทศที่ถูกยึดครอง ส่วนใหญ่เป็นชาวเกาหลีและจีน ให้เป็นหญิงบำเรอของทหารญี่ปุ่น

ปัจจุบัน ภายใต้การนำของผู้นำที่เข้มแข็งอย่าง สี จิ้นผิง ตอกย้ำความมุ่งมั่นอันยาวนานของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ปกครองประเทศ ในการรับประกันว่าประวัติศาสตร์จะไม่สามารถซ้ำรอยได้อีก สี จิ้นผิงได้พัฒนากองทัพจีนให้ทันสมัยอย่างรวดเร็วและขยายอิทธิพลไปทั่วโลก ตอนนี้ ในสายตาของปักกิ่ง ความเห็นของทาคาอิจิเผยให้เห็นว่า ญี่ปุ่นไม่เคารพต่อการปรับสมดุลอำนาจครั้งใหญ่ที่ทำให้จีนเป็นมหาอำนาจที่กำลังผงาดขึ้น 

'การทหารนิยม' ของญี่ปุ่นเป็นภัยต่อจีน

ญี่ปุ่นได้เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในท่าทีด้านความมั่นคงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยได้เบี่ยงเบนออกจากรัฐธรรมนูญสันติภาพที่สหรัฐอเมริกาบังคับใช้หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมและจัดซื้อขีดความสามารถในการตอบโต้การโจมตี

การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในขณะที่รัฐบาลปักกิ่งเร่งกิจกรรมทางทหารในภูมิภาค โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวด้านกองทัพรอบเกาะไต้หวัน ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ได้ผลักดันให้พันธมิตรอย่างญี่ปุ่นมีบทบาทในภูมิภาคที่ขัดแย้งกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับประเด็นไต้หวัน ผู้นำญี่ปุ่นคนก่อน ๆ หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเกาะไต้หวันที่เป็นจุดอ่อนของจีน แต่นักการเมืองฝ่ายขวาในพรรคของทาคาอิจิ กังวลมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบต่อโตเกียวหากกองทัพปักกิ่งโจมตีไต้หวันจริง ซึ่งไต้หวันตั้งอยู่ในตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ทางใต้ของญี่ปุ่น

เมื่อญี่ปุ่นได้นายกรัฐมนตรีสายเหยี่ยวอย่างนางทาคาอิจิ จึงส่งผลให้แผนการขยายงบประมาณด้านกลาโหมของญี่ปุ่นชัดเจนขึ้น แม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่สะท้อนแนวคิดชาตินิยมแข็งแกร่งก็ทำให้จีนรู้สึกว่าญี่ปุ่นกลายมาเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อจีน

ชอง จา เอียน รองศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ชี้ว่า ในช่วงไม่กี่วันแรกของการดำรงตำแหน่งของนางซานาเอะ เธอแสดงออกชัดเจนว่าพร้อมจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐฯ เพื่อกลับมาผงาดยิ่งใหญ่อีกครั้ง เมื่อจีนดำเนินท่าทีแข็งกร้าวเพื่อตอบโต้ต่อคำกล่าวของนางทาคาอิจิ ชาวญี่ปุ่นบางส่วนจึงรู้สึกว่า สาเหตุที่จีนกำลังออกมาตอบโต้อย่างรุนแรงในตอนนี้ เพื่อตีกรอบทาคาอิจิและทำให้เธอตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบตั้งแต่เนิ่น ๆ

จีนต้องการปกป้องอธิปไตยของตน

แม้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะส่งทูตไปยังกรุงปักกิ่งเมื่อต้นสัปดาห์นี้เพื่อลดความตึงเครียด แต่ปักกิ่งก็ไม่ได้แสดงสัญญาณใด ๆ ที่จะลดการกล่าวโจมตีอย่างรุนแรงลง แต่กลับยืนกรานให้นางคาทาอิจิถอนคำพูดเกี่ยวกับไต้หวันที่เป็นประเด็น จุดยืนที่แข็งกร้าวของทั้งสองประเทศทำให้ให้ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาทางออกได้ง่ายนัก

ในขณะเดียวกัน จีนยังคงกระตุ้นความรู้สึกชาตินิยมต่อไป รวมถึงการขู่เข็ญจากกองทัพจีน ที่ได้เผยแพร่วิดีโอชื่อ “อย่าได้ยโสโอหังมากเกินไป” โดยไม่ได้กล่าวถึงญี่ปุ่นโดยตรง แต่มีท่อนแร็พที่ร้องว่า: “เราลับคมทักษะของเราผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มงวด เราจะปล่อยให้เจ้าหยิ่งยโสโอหังมากเกินไปได้อย่างไร?” 

ทั้งนี้ จีนมองว่าไต้หวันเป็นดินแดนของตน โดยอ้างอิงจากประวัติศาสตร์การปกครองและหลักการทางการเมืองที่สำคัญที่เรียกว่า "หลักการจีนเดียว" (One China Principle) สาธารณรัฐประชาชนจีนยืนยันว่า ตนเป็นรัฐบาลเดียวที่เป็นตัวแทนของจีนทั้งหมด (รวมถึงไต้หวัน) และกำหนดเงื่อนไขให้ประเทศอื่น ๆ ที่ต้องการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับปักกิ่ง ต้องตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวัน

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1971 ที่สหประชาชาติมีมติยอมรับสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นสมาชิกและขับไต้หวันออกไป ประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกได้ยอมรับ "นโยบายจีนเดียว" ในระดับหนึ่ง แม้ว่าบางประเทศจะตีความอย่างกำกวมเพื่อรักษาสายสัมพันธ์ทั้งกับรัฐบาลปักกิ่งและรัฐบาลไทเปก็ตาม


แชร์
ปมไต้หวันทำจีน-ญี่ปุ่นเดือดปะทุ นายกฯ พูดพล่อยหรือมีรอยร้าวซ่อนอยู่