
อดีตนายกรัฐมนตรี เชค ฮาสินา วัย 78 ปี ถูกศาลบังกลาเทศตัดสินประหารชีวิตจากกรณีสั่งปราบปรามการประท้วงของนักศึกษาเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 1,400 คน ท่ามกลางเสียงเชียร์กึกก้องในศาล การตัดสินครั้งประวัติศาสตร์นี้เกิดขึ้น ก่อนการเลือกตั้งครั้งแรกหลังเธอถูกโค่นอำนาจ
ศาสตราจารย์มูฮัมหมัด ยูนุส ผู้นำรัฐบาลรักษาการของบังกลาเทศ ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า การเลือกตั้งรัฐสภาครั้งต่อไปของประเทศจะจัดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของเดือนกุมภาพันธ์ 2026 โดยมีเป้าหมายให้เกิดขึ้นก่อนเดือนรอมฎอน คำตัดสินดังกล่าวจึงเกิดขึ้นเพียง 3 เดือนก่อนที่จะมีเลือกตั้งครั้งต่อไป
Spotlight ชวนเปิดเบื้องหลังคำสั่งศาลที่ตัดสินโทษอดีตผู้นำสูงวัยคนนี้ เป็นคำตัดสินที่ยุติธรรมหรือไม่ มีการเมืองอยู่เบื้องหลัง? หรือเธอมีส่วนสำคัญในการก่ออาชญากรรมต่อประชาชนในประเทศจริง
เมื่อวันจันทร์ (17 พ.ย.) ศาลบังกลาเทศได้พิพากษาประหารชีวิต เชค ฮาสินา อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกโค่นอำนาจ ในข้อหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ โดยมีเสียงเชียร์ดังลั่นทั่วห้องพิจารณาคดีที่มีผู้คนแน่นขนัดขณะที่ผู้พิพากษาอ่านคำตัดสิน
ก่อนหน้านี้ ฮาสินาเพิกเฉยต่อคำสั่งศาลบังกลาเทศที่ให้เธอกลับจากอินเดียมาเข้ารับการพิจารณาคดีเกี่ยวกับการที่เธอสั่งปราบปรามอย่างรุนแรงต่อการประท้วงที่นำโดยนักศึกษาเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งท้ายที่สุดนำไปสู่การโค่นล้มเธอในเดือนสิงหาคม ปี 2024
ผู้พิพากษา โกลาม มอร์ตูซา โมซุมเดอร์กล่าวว่า หลักฐานทั้งหมดที่ประกอบกันนี้ ชี้ให้เห็นว่าเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อดีตผู้นำรายนี้จึงถูกตัดสินว่ามีความผิดใน 3 ข้อหา ได้แก่ การยุยงปลุกปั่น การสั่งให้สังหาร และ การไม่ดำเนินการเพื่อป้องกันความโหดร้าย เราตัดสินใจลงโทษเธอเพียงโทษเดียวเท่านั้น นั่นคือ โทษประหารชีวิต
ในการปราบปรามผู้ประท้วงครั้งนี้ ยังมีนักการเมืองระดับสูงคนอื่นโดนตัดสินโทษเช่นกัน อาซาดูซซามาน ข่าน คามาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยที่เขาไม่ได้มาปรากฏตัวต่อศาลเช่นกัน โดยเขาถูกตัดสินว่ามีความผิดในอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ จากทั้งหมด 4 ข้อหา ได้แก่ การยุยงปลุกปั่น การสั่งให้สังหาร การสังหารเป็นกลุ่ม และการไม่ดำเนินการเพื่อป้องกันความโหดร้าย ขณะที่เชาด์ฮูรี อับดุลลาห์ อัล-มามูน อดีตผู้บัญชาการตำรวจ ซึ่งอยู่ในศาลและให้การรับสารภาพ ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลาห้าปี
โมฮัมหมัด อาซาดูซซามาน อัยการสูงสุด กล่าวว่า การพิจารณาคดีนี้ "เป็นการชดใช้แก่ผู้พลีชีพ" ขณะที่ มูฮัมหมัด ยูนุส ผู้นำชั่วคราว เรียกคำตัดสินนี้ว่า "เป็นคำตัดสินทางประวัติศาสตร์"
ด้านแชมซี อารา ซามาน มารดาของเหยื่อผู้เสียชีวิตรายหนึ่งกล่าวว่า เธอพึงพอใจกับคำพิพากษาประหารชีวิต แต่ผิดหวังที่อดีตผู้บัญชาการตำรวจได้รับโทษจำคุกเพียง 5 ปี ทั้งนี้ บุตรชายของเธอเป็นช่างภาพข่าวที่เสียชีวิตระหว่างการปราบปรามอันดุเดือดเมื่อปีที่แล้ว
องค์การสหประชาชาติระบุว่า มีผู้เสียชีวิตมากถึง 1,400 คน ในระหว่างการปราบปราม ขณะที่ฮาสินาพยายามยึดอำนาจ ซึ่งการเสียชีวิตเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญของการพิจารณาคดีต่อเธอ
ภายหลังคำตัดสินถูกเปิดเผยออกมาเมื่อวานนี้ อดีตนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ เชค ฮาสินา ที่กำลังลี้ภัยอยู่ในอินเดีย ได้ออกแถลงการณ์ประณามคำตัดสินว่า "มีอคติและมีแรงจูงใจทางการเมือง" ขณะที่บังกลาเทศเรียกร้องให้อินเดียส่งตัวเธอในฐานะเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมืองก่อนการเลือกตั้งต้นปี 2026 เธอกล่าวว่า "คำตัดสินว่าฉันมีความผิดเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว"
ฮาสินาได้รับการสนับสนุนจากกรุงนิวเดลี ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านตึงเครียดนับตั้งแต่เธอถูกโค่นอำนาจ และบังกลาเทศได้ย้ำการเรียกร้องให้อินเดียส่งตัวเธอเป็นผู้ร้ายข้ามแดน กระทรวงการต่างประเทศของอินเดียกล่าวว่า รัฐบาลรับทราบคำตัดสินดังกล่าวแล้ว พร้อมเสริมว่าอินเดีย มุ่งมั่นที่จะรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนชาวบังกลาเทศ
เหตุการณ์ที่นำไปสู่การโค่นล้มอดีตนายกรัฐมนตรี เชค ฮาสินา ในปี 2024 และการสังหารหมู่ผู้ประท้วงกว่า 1,400 คน ถูกเรียกว่า "การลุกฮือครั้งใหญ่เดือนกรกฎาคม" (July Mass Uprising) โดยมีสาเหตุมาจาก ความไม่พอใจในระบบโควตาการรับราชการพลเรือน
ในเดือนมิถุนายน 2024 ศาลสูงได้มีคำสั่งให้คืนระบบโควตาที่สงวนตำแหน่งงานภาครัฐไว้ 30% สำหรับลูกหลานและหลานของ "นักรบเสรีภาพ" (Freedom Fighters) ที่ต่อสู้ในสงครามปลดปล่อยบังกลาเทศเมื่อปี 1971 แต่นักศึกษาและคนรุ่นใหม่จำนวนมากมองว่า ระบบโควตานี้ไม่เป็นธรรมและขัดขวางโอกาสของผู้ที่มีความสามารถที่จะเข้าสู่ระบบราชการ จึงรวมตัวกันภายใต้ขบวนการ "นักศึกษาต่อต้านการเลือกปฏิบัติ" เพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปหรือยกเลิกโควตาดังกล่าว
การปะทะเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจและกลุ่ม Bngladesh Chhatra League (BCL) ซึ่งเป็นนักศึกษาผู้สนับสนุนพรรครัฐบาลเข้าโจมตีผู้ประท้วงที่มาชุมนุมอย่างสันติ เมื่อการปราบปรามนำไปสู่การเสียชีวิตของผู้ประท้วง การประท้วงจึงขยายวงกลายเป็นการเคลื่อนไหวทั่วประเทศเพื่อเรียกร้องให้ เชค ฮาสินา ลาออกจากตำแหน่งและกลายเป็น "การลุกฮือครั้งใหญ่" ท้ายที่สุด เชค ฮาสินา ประกาศลาออกและหลบหนีออกนอกประเทศ นำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลรักษาการโดยกองทัพ
ตามการประเมินของสหประชาชาติ ยอดผู้เสียชีวิตที่สูงถึงประมาณ 1,400 คน เกิดจากการตอบโต้ที่รุนแรงและเป็นระบบของรัฐบาลเพื่อรักษาอำนาจของตนโดยเฉพาะ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและศาลระบุว่าการกระทำของรัฐบาลเข้าข่าย อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ผ่านมาตรการต่าง ๆ ดังนี้
ความรุนแรงในการปราบปรามนี้เองที่ทำให้ขบวนการนักศึกษาเปลี่ยนจากการประท้วงเรื่องโควตา ไปสู่การเรียกร้องประชาธิปไตยและการโค่นล้มระบอบอำนาจนิยมของเชค ฮาสินา ซึ่งเธอครองอำนาจมานานถึง 15 ปี