
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จีนและญี่ปุ่นได้เข้าสู่การปะทะคารมทางการทูตกันอย่างรุนแรง โดยเริ่มต้นเมื่อ นางซานาเอะ ทาคาอิชิ นายกรัฐมนตรีหญิงคนใหม่ของญี่ปุ่น ได้เสนอความเห็นว่า หากจีนโจมตีไต้หวัน ญี่ปุ่นก็อาจตอบโต้ด้วยกองกำลังป้องกันตนเองได้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายได้ยื่นประท้วงอย่างรุนแรงต่อกันและกัน
ยิ่งไปกว่านั้น นักการทูตจีนคนหนึ่งได้แสดงความเห็นรุนแรง ที่ทำให้หลายคนตีความว่าเป็นการขู่จะตัดศีรษะของนางทาคาอิชิ ความขัดแย้งนี้สะท้อนความบาดหมางทางประวัติศาสตร์ระหว่างจีนและญี่ปุ่น รวมถึง "ความคลุมเครือทางยุทธศาสตร์" ที่มีมายาวนานเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยเหนือไต้หวัน
Spotlight ชวนย้อนเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น? ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งบานปลายขนาดนี้
ความตึงเครียดในปัจจุบันปะทุขึ้น จากการประชุมรัฐสภาในญี่ปุ่นเมื่อวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เมื่อสมาชิกสภาฝ่ายค้านถามนางทาคาอิชิว่า สถานการณ์ใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับไต้หวัน จะนับเป็นสถานการณ์ที่คุกคามความอยู่รอดของญี่ปุ่นด้วยหรือไม่ นางทาคาอิชิตอบว่า: "หากมีเรือรบและการใช้กำลัง ไม่ว่าคุณจะคิดอย่างไร มันก็อาจถือเป็นสถานการณ์ที่คุกคามความอยู่รอดของญี่ปุ่นได้"
ทั้งนี้ "สถานการณ์ที่คุกคามการอยู่รอด" เป็นคำที่กำหนดไว้ภายใต้กฎหมายความมั่นคงปี 2015 ของญี่ปุ่น ระบุไว้ว่า เมื่อเกิดการโจมตีพันธมิตรของญี่ปุ่นด้วยอาวุธ จะนับเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของญี่ปุ่น นั่นหมายความว่า รัฐบาลญี่ปุ่นสามารถสั่งการให้กองกำลังป้องกันตนเองออกไปปฏิบัติการตอบโต้ภัยคุกคามเหล่านั้นได้ อย่างไรก็ตาม ความเห็นของนางทาคาอิชิได้สร้างความไม่พอใจให้กับปักกิ่ง โดยกระทรวงการต่างประเทศของจีนอธิบายว่าความเห็นเหล่านั้น "อุกอาจ"
ในวันเสาร์ที่ผานมา นายซู เจี้ยน กงสุลใหญ่ของจีนประจำโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ได้แชร์บทความข่าวเกี่ยวกับการแสดงความเห็นของนางทาคาอิชิในรัฐสภาบนแพลตฟอร์ม X และเขียนความคิดเห็นส่วนตัวว่า "หัวสกปรกที่ยื่นเข้ามาต้องถูกตัดออก" แม้ว่าเจตนาของความเห็นของนายซู "อาจจะไม่ชัดเจน" แต่ก็ "ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง"
นายคิฮาระ มิโนรุ หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่น กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า รัฐบาลญี่ปุ่นได้ยื่นประท้วงต่อจีนเกี่ยวกับความเห็นของนายซู ขณะที่รัฐบาลจีนก็ได้ยื่นประท้วงต่อญี่ปุ่นเกี่ยวกับความเห็นของนางทาคาอิชิเช่นกัน โพสต์ของนายซูถูกลบไปแล้วตั้งแต่นั้นมา แต่ถ้อยคำที่สาดใส่กันยังคงสร้างความบาดหมางที่ไม่จางหายไปง่าย ๆ
ล่าสุด นางทาคาอิชิยังคงปฏิเสธที่จะถอนคำพูดของเธอ และยืนยันว่า การตอบคำถามในวันนั้น "สอดคล้องกับจุดยืนดั้งเดิมของรัฐบาลญี่ปุ่น" อย่างไรก็ตาม เธอได้กล่าวไว้ว่าจะระมัดระวังในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์เฉพาะเจาะจงนับจากนี้ไป
ความบาดหมางระหว่างจีนและญี่ปุ่นนั้นหยั่งรากลึกในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ในด้านความโหดร้ายที่ทหารญี่ปุ่นปฏิบัติต่อชาวจีนในยุคนั้น ซึ่งความคับข้องใจในอดีตเหล่านี้ยังคงเป็นจุดเปราะบางที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศมาจนถึงปัจจุบัน
สถานการณ์นี้ยิ่งตึงเครียดขึ้นเมื่อนางซานาเอะ ทาคาอิชิ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง เธอมีแนวคิดชาตินิยมเช่นเดียวกับนายชินโซ อาเบะ ผู้นำสายอนุรักษ์นิยมคนนี้เดินหน้ากระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ อย่างชัดเจนและได้ให้คำมั่นที่จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมของญี่ปุ่น ซึ่งแน่นอนว่า ความเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้สร้างความไม่สบายใจให้กับรัฐบาลปักกิ่ง
นางทาคาอิชิมีชื่อเสียงในฐานะนักการเมืองที่แข็งกร้าวแบบ "สายเหยี่ยว" ต่อประเทศจีน และเป็นผู้สนับสนุนไต้หวันมาอย่างยาวนาน เธอเคยแสดงความเห็นก่อนหน้านี้ว่า การปิดล้อมเกาะไต้หวันอาจเป็นภัยคุกคามต่อญี่ปุ่นได้ และญี่ปุ่นสามารถระดมกำลังทหารเพื่อหยุดยั้งการรุกรานของจีน
ฝ่ายจีนเองก็มีความอ่อนไหวเป็นพิเศษเกี่ยวกับไต้หวัน ซึ่งเป็นเกาะที่ปกครองตนเอง แต่ปักกิ่งยังคงอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของตน และไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ที่จะใช้กำลังเข้ายึด ทำให้รัฐบาลไต้หวันและพันธมิตรในภูมิภาคต้องเป็นกังวลอยู่เสมอ
เมื่อไม่นานมานี้ ความสัมพันธ์ยิ่งทวีความตึงเครียดเมื่อปักกิ่งกล่าวหานางทาคาอิชิว่า ละเมิดหลักการจีนเดียว หลังจากที่เธอโพสต์ภาพการพบปะกับเจ้าหน้าที่อาวุโสของไต้หวันนอกรอบการประชุมสุดยอดเอเปคที่เกาหลีใต้
ความเห็นล่าสุดของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ถือเป็นการเบี่ยงเบนจากจุดยืนที่คลุมเครือที่ประเทศได้ยึดถือมาโดยตลอดเกี่ยวกับสถานะของไต้หวัน และนี่ยังเป็นไปตามนโยบาย "ความคลุมเครือทางยุทธศาสตร์" (strategic ambiguity) ที่สหรัฐฯ ยึดถือมานาน
ความคลุมเครือเกี่ยวกับการปกป้องไต้หวันจากจีนเป็นเวลาหลายทศวรรษ ทำให้จีนต้องคาดเดา ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจเดินหน้าได้มากขึ้น จุดยืนอย่างเป็นทางการของรัฐบาลญี่ปุ่นคือ หวังว่าปัญหาไต้หวันจะสามารถแก้ไขได้โดยสันติผ่านการเจรจา และโดยปกติแล้ว เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นจะหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงไต้หวันในการอภิปรายสาธารณะเกี่ยวกับความมั่นคง ในโอกาสที่มีการกล่าวถึง พวกเขาก็ต้องเผชิญกับการตำหนิอย่างรุนแรงจากจีน
ในปี 2021 เมื่อนายทาโร อาโซะ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กล่าวว่า ญี่ปุ่นจะต้องปกป้องไต้หวันพร้อมกับสหรัฐฯ ในกรณีที่มีการรุกราน ปักกิ่งได้ประณามความเห็นของเขาและบอกให้ญี่ปุ่น "แก้ไขข้อผิดพลาดของตน"
ในการปะทะครั้งล่าสุดนี้ นายหลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่า ความเห็นของนางทาคาอิชิคือ "การแทรกแซงอย่างโจ่งแจ้งในกิจการภายในของจีน" เพราะ "ไต้หวันคือไต้หวันของจีน" พร้อมเสริมว่า จีนจะไม่ยอมให้มีการแทรกแซงจากต่างชาติในเรื่องนี้ อีกทั้งยังตั้งคำถามว่า "ผู้นำญี่ปุ่นกำลังพยายามส่งสัญญาณอะไรไปยังกองกำลังแบ่งแยกดินแดน 'เอกราชไต้หวัน' กันแน่?"