BBC รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ มีคำสั่งให้กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (Department of Defense) เปลี่ยนมาใช้ชื่อ กระทรวงการสงคราม (Department of War) แทน โดยเขาจะลงนามในคำสั่งพิเศษของฝ่ายบริหารในวันนี้ (5 กันยายน 2568) เพื่อให้กระทรวงกลาโหมใช้ชื่อใหม่ แต่เป็นแค่ชื่อรองเฉย ๆ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พีท เฮกเซท ได้รับการเรียกขานว่า Secretary of War หรือ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสงคราม"
อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งกระทรวงของฝ่ายบริหารเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาสหรัฐฯ ซึ่งหมายความว่าต้องมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้สามารถเปลี่ยนชื่อกระทรวงได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ข้อความในคำสั่งพิเศษของฝ่ายบริหารฉบับดังกล่าว ซึ่งระบุว่า: "ชื่อ 'กระทรวงการสงคราม' สื่อถึงความพร้อมและความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งกว่า 'กระทรวงกลาโหม' ซึ่งเน้นเฉพาะขีดความสามารถในการป้องกันตนเองเท่านั้น"
ในคำสั่งระบุว่า การเปลี่ยนชื่อนี้ เป็นไปเพื่อ "แสดงออกถึงความแข็งแกร่งและความมุ่งมั่น" คำสั่งนี้จึงอนุญาตให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และเจ้าหน้าที่ใต้บังคับบัญชา ใช้ชื่อใหม่เป็นชื่อรองได้
คำสั่งดังกล่าวยังสั่งให้ พีท เฮกเซท รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เสนอแนะและดำเนินการทางกฎหมายและทางการบริหาร เพื่อเปลี่ยนชื่อกระทรวงอย่างถาวร เนื่องจากทรัมป์ไม่สามารถเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการได้หากไม่ได้รับการอนุมัติจากรัฐสภา
ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือที่ชาวอเมริกันเรียกติดปากตามชื่ออาคารว่า เพนทากอน (The Pentagon) เป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลกองทัพสหรัฐฯ แต่แท้จริงแล้ว เมื่อก่อนเคยถูกเรียกว่า "กระทรวงการสงคราม" ซึ่งเป็นหน่วยงานระดับคณะรัฐมนตรีที่ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1789 และดำรงอยู่จนถึงปี ค.ศ. 1947
กระทรวงการสงคราม ก่อตั้งโดยอดีตประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน แต่ถูกเปลี่ยนชื่อหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ตามคำสั่งพิเศษของฝ่ายบริหาร ซึ่งทรัมป์ชี้ว่า การนำชื่อเดิมกลับมาใช้ จะช่วยให้หน่วยงานนี้มุ่งเน้นที่ผลประโยชน์ของชาติอย่างเข้มข้นขึ้น และส่งสัญญาณให้ศัตรูเห็นถึงความพร้อมของอเมริกาที่จะทำสงครามเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน
ทำเนียบขาวปฏิเสธที่จะเปิดเผยว่า การเปลี่ยนชื่ออย่างถาวรนี้จะมีค่าใช้จ่ายเท่าไร แต่สื่อในสหรัฐฯ คาดว่าน่าจะมีราคาหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับค่าปรับปรุงหน่วยงานหลายร้อยแห่ง ตราสัญลักษณ์ ที่อยู่อีเมล เครื่องแบบ และอื่น ๆ ซึ่งอาจขัดขวางนโยบายของกระทรวงที่กำลังพยายามลดการใช้จ่าย
ทรัมป์เคยพูดถึงแนวคิดเรื่องการเปลี่ยนชื่อนี้มาหลายครั้ง โดยให้เหตุผลว่าสหรัฐฯ มี "ประวัติศาสตร์แห่งชัยชนะที่น่าเหลือเชื่อ" ในสงครามโลกทั้งสองครั้ง เขายังแสดงความเชื่อมั่นว่า สมาชิกสภานิติบัญญัติจะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ระบุว่า "ผมมั่นใจว่าสภาฯ จะเห็นด้วย หากเราต้องการอย่างนั้น ผมมั่นใจว่าสภาฯ จะเห็นด้วย"
สื่อมวลชนหลายฝ่ายเชื่อว่า ทรัมป์และ พีท เฮกเซท พยายามปรับทิศทางของกระทรวงให้กลับไปมุ่งเน้นที่ "การทำสงคราม" และ "จิตวิญญาณของนักรบ" พวกเขาให้เหตุผลว่า พักหลังมานี้ กระทรวงกลาโหมมุ่งเน้นไปที่โครงการด้านความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการไม่แบ่งแยก รวมถึง "อุดมการณ์ Woke" ที่เน้นการตื่นรู้ของสังคมในประเด็นทางสังคมมากเกินไป นโยบายดังกล่าว เช่น การเปิดทางให้คนข้ามเพศมีบทบาทในกองทัพ เป็นต้น
ประชาชนบางส่วนมองว่า นี่อาจเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหว ที่สะท้อนว่า ทรัมป์อยากได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ คำวิพากษ์วิจารณ์ที่หนาหูขึ้น ทำให้ทรัมป์พยายามลดการแสดงออกว่าต้องการรางวัลระดับโลก เพราะล่าสุด เขาได้ออกมาปฏิเสธ กล่าวว่าที่ทำมาทั้งหมดนี้ เพียงแค่อยากยุติสงคราม และช่วยเหลือชีวิตผู้คนเท่านั้น
การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้ถือเป็นคำสั่งพิเศษของฝ่ายบริหารฉบับที่ 200 ที่ประธานาธิบดีลงนามนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง แม้ว่าจะมีการส่งสัญญาณว่าอาจมีคำสั่งเปลี่ยนชื่อมาบ้างก่อนหน้านี้ แต่ท้ายที่สุด คำสั่งดังกล่าวก็ออกมาในจังหวะที่จีนเปิดตัวอาวุธใหม่ โดรน และยุทโธปกรณ์ทางการทหารอื่น ๆ จำนวนมากในขบวนพาเหรดที่ยิ่งใหญ่ ในโอกาสวันแห่งชัยชนะที่จัดขึ้นไปเมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งหลายคนตีความว่าเป็น การส่งสารที่ชัดเจนถึงสหรัฐฯ และพันธมิตรของตน