เมื่อบ่ายแก่ๆ วันที่ 5 กันยายน 2568 เราทราบกันแล้วว่าประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ชื่อ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นักการเมืองผู้มังคั่งจากตระกูลเจ้าของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เครือซิโน-ไทย ซึ่งปัจจุบันมีชื่อบริษัทแม่อย่างเป็นทางการว่า บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON
ในช่วงเวลานี้ เชื่อว่าหลายคนกำลังค้นหาข้อมูลนายกฯคนใหม่ ไปจนถึงข้อมูลครอบครัว ตระกูล เครือข่าย และธุรกิจซึ่งเป็นที่มาความมั่งคงของตระกูลชาญวีรกูล
SPOTLIGHT จึงขอร่วมผ่าอาณาจักร STECON ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมก่อสร้างไทย เพื่อดูรายละเอียดของบริษัทและที่มาความมั่งคั่งของเครือบริษัทนี้ ซึ่งพบว่าในปัจจุบัน STECON มีธุรกิจ 3 ขาหลักเป็นเครื่องจักรผลิตเงิน และข้อเท็จจริงที่หลายคนทราบอยู่แล้ว คือ การคว้างานโครงการใหญ่ๆ ของรัฐ มีส่วนหนุนการเติบโตของซิโน-ไทย หรือ STECON ตลอดมา
บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON เป็นบริษัทโฮลดิ้ง (holding company) ซึ่งหมายถึงเป็นบริษัทที่ไม่ได้ดำเนินธุรกิจเองโดยตรง แต่ถือหุ้นในบริษัทย่อยในสัดส่วนที่มีอำนาจในการควบคุมกิจการ แล้วดำเนินธุรกิจผ่านบริษัทย่อยและบริษัทร่วม จดทะเบียนขึ้นเป็นบริษัทมหาชน เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2566 และเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในเดือนตุลาคม 2567
ประธานกรรมการบริษัทคนปัจจุบัน คือ นายวัลลภ รุ่งกิจวรเสถียร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม/กรรมการผู้จัดการใหญ่คนปัจจุบัน คือ นายภาคภูมิ ศรีชำนิ
ปัจจุบัน STECON มีธุรกิจในเครือแบ่งเป็น 3 ขาธุรกิจหลัก ได้แก่ (1) ธุรกิจวิศวกรรมและก่อสร้าง (2) ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน (3) ธุรกิจโลจิสติกส์และการขนส่ง และมีขาที่ 4 คือ “ธุรกิจอื่นๆ” โดยมีบริษัทย่อยแบ่งตามกลุ่มธุรกิจ ดังนี้
บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)
ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ของประเทศไทยในปัจจุบัน ที่มีลูกค้าทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รับงานหลากหลาย แบ่งเป็น 5 ประเภทหลัก ได้แก่ งานก่อสร้างด้านสาธารณูปโภค งานก่อสร้างด้านอาคาร งานก่อสร้างด้านพลังงาน งานก่อสร้างด้านอุตสาหกรรม และงานก่อสร้างด้านสิ่งแวดล้อมและงานอื่นๆ
โครงการที่โดดเด่นของ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) คือ งานก่อสร้างด้านสาธารณูปโภครถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และงานก่อสร้างอาคารรัฐสภาใหม่ (สัปปายะสภาสถาน)
บริษัท วิสดอม เซอร์วิสเซส จำกัด
ประกอบธุรกิจจำหน่ายเครื่องจักร อะไหล่ และให้เช่าเครื่องจักรที่มีประสบการณ์ในธุรกิจก่อสร้างมามากกว่า 40 ปี โดยให้บริการเครื่องจักรในโครงการขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชน
บริษัท เอสเอ็นที คอนกรีต โซลูชั่น จำกัด
ประกอบธุรกิจให้บริการผลิตชิ้นและติดตั้งส่วนคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ครบวงจร รวมถึงผลิตและบริการตอกเสาเข็มชนิด
บริษัท สเตคอน เพาเวอร์ จำกัด
ประกอบธุรกิจลงทุนกิจการพลังงานและสาธารณูปโภคทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีการลงทุนในกิจการศูนย์ข้อมูล (Data Center) ผ่านการถือหุ้น บริษัท ดีซี เพาเวอร์ บีเอ็น1 จำกัด ร่วมกับพันธมิตร
บริษัท มาร์ส วอเตอร์ ซัพพลาย จำกัด
ประกอบธุรกิจการจัดหาน้ำและการจ่ายน้ำสำหรับใช้ใน ครัวเรือนและอุตสาหกรรมผ่านระบบประปา ซึ่งได้ผลิตน้ำประปาจำหน่ายให้แก่หน่วยงานของรัฐและในพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำด้วย
บริษัท สเตคอน โลจิสติกส์ แอนด์ ทรานสปอร์เทชั่น จำกัด
ประกอบธุรกิจลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม เช่น การบริหารและให้บริการทางด่วน รถไฟฟ้า สนามบิน
ทั้งนี้ บริษัทนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อรับโอนหุ้นในบริษัทร่วมของ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด มหาชน ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ซึ่งประกอบด้วย บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) บริษัท ยูทีบี จำกัด (UTB) บริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (NBM) บริษัท อีสเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (EBM) บริษัท บีจีเอสอาร์ 6 จำกัด (BGSR 6) และ บริษัท บีจีเอสอาร์ 81 จำกัด (BGSR 81)
ตัวอย่างกิจการร่วมลงทุนของบริษัทในเครือ บริษัท สเตคอน โลจิสติกส์ แอนด์ ทรานสปอร์เทชั่น จำกัด ได้แก่โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M8)
บริษัท สเตคเอ็กซ์ เวนเจอร์ส จำกัด
ประกอบธุรกิจลงทุนในกิจการอื่น โดยได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุน คือ บริษัท ไซเท็มเอสที เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2565 ร่วมกับบริษัท ไซเท็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจบำรุงรักษา บริหารจัดการระบบประกอบอาคารและงานระบบพิเศษ มูลค่าเงินลงทุนประมาณ 1.5 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 30.00
บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON มีจุดเริ่มต้นในปี 2505 เมื่อ ชวรัตน์ ชาญวีรกูล (บิดาของอนุทิน ชาญวีรกูล) ได้ก่อตั้ง ห้างหุ้นส่วนจำกัด ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 500,000 บาท เพื่อดำเนินธุรกิจ แปรสภาพโครงสร้างเหล็กที่ใช้เทคนิคการเชื่อมและดัดแปลงขั้นพื้นฐาน
ต่อมาในปี 2510 เปลี่ยนชื่อจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง เป็น บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด และได้ขยายธุรกิจสู่งานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมงานก่อสร้างสาธารณูปโภค ตัวแทนจำหน่ายเครื่องจักรที่ใช้ในงานก่อสร้าง งานซ่อมบำรุงในโรงงานอุตสาหกรรม และอื่นๆ
จากนั้น ปี 2536 นำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยจดทะเบียนในชื่อ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ชื่อยื่อหุ้น STEC
ปี 2538 เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญ เมื่อ อนุทิน ชาญวีรกูล บุตรชายคนโตของชวรัตน์ก้าวขึ้นเป็นผู้นำรุ่นที่ 2 ขององค์กร และอยู่ในตำแหน่งเป็นแม่ทัพจนถึงปี 2547
ปี 2548 ซิโน-ไทยก้าวสู่การรับงานโครงการมูลค่าหมื่นล้าน นั่นคือ ‘โครงการแอร์พอร์ต เรล ลิงก์’
ต่อมาในปี 2556 คว้าอีกอภิมหาโปรเจ็กต์ คือ การสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ (สัปปายะสภาสถาน)
ปี 2560 ซิโน-ไทยร่วมลงทุนโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน (Public Private Partnership: PPP) ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และสายสีเหลืองช่วงลาดพร้าว-สำโรง
ต่อมาในปี 2564 ได้ลงนามสัญญาโครงการของรัฐหลายโครงการ เช่น โครงการก่อสร้างศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 (โซน C อาคารทิศเหนือ), โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (บางปะอิน-นครราชสีมา) (M6), โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (บางใหญ่-กาญจนบุรี) (M81) โครงการรถไฟทางคู่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ (สัญญาที่ 2 และ 3) และ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (สัญญาที่ 1 และ 2)
ปี 2566 เป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญของกลุ่มซิโน-ไทย คือ มีการก่อตั้งบริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ขึ้นมาเป็นบริษัทแม่ ตามแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการ
ต่อเนื่องด้วยการเพิกถอนหุ้น บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ และนำหุ้น บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON เข้าแทนในปี 2567
สำหรับผลประกอบการของ STECON ใน 3 ปีงบการเงินล่าสุด และครึ่งปีแรกของปีงบฯ 2568 เป็นดังนี้
ปีงบฯ 2568 (6 เดือน) รายได้รวม 15,993.62 ล้านบาท กำไร 853.60 ล้านบาท
ปีงบฯ 2567 รายได้รวม 30,345.58 ล้านบาท ขาดทุน -2,357.39 ล้านบาท
ปีงบฯ 2566 รายได้รวม 29,841.50 ล้านบาท กำไร 535.62 ล้านบาท
ปีงบฯ 2565 รายได้รวม 30,572.55 ล้านบาท กำไร 866.72 ล้านบาท
ที่มา: สืบค้นจากเว็บไซต์ STECON และ SET ณ วันที่ 5 กันยายน 2568