ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวอย่างไม่ทั่วถึง ปัญหาคุณภาพหนี้ในระบบธนาคารพาณิชย์กลับปรากฏชัดขึ้นเรื่อย ๆ สัญญาณจากตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูง (Stage 2) ล้วนตอกย้ำแรงกดดันเชิงโครงสร้าง ทั้งจากธุรกิจ SMEs ที่เป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจ และจากหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง สถานการณ์ดังกล่าวไม่เพียงสะท้อนความเปราะบางของภาคการเงิน แต่ยังบ่งชี้ว่ากำลังซื้อและรายได้ของผู้ประกอบการกับครัวเรือนยังไม่สามารถฟื้นกลับมารับแรงกระแทกทางเศรษฐกิจได้เต็มที่
ฐานข้อมูลเครดิตบูโรซึ่งทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนสถานะหนี้ของภาคธุรกิจยืนยันประเด็นนี้อย่างชัดเจน ตัวเลขหนี้ด้อยคุณภาพทั้งในรูปของ NPL และ Special Mention (SM) ขยับสูงขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงปีแรกหลังการเปิดประเทศหลังการระบาดของโควิด-19 ขณะเดียวกันหนี้ที่ค้างชำระระยะสั้นกลับลดลงจากการเร่งปรับโครงสร้างหนี้โดยสถาบันการเงิน แสดงให้เห็นถึงความพยายามเชิงรุกของธนาคารในการป้องกันไม่ให้หนี้กลายเป็นปัญหาลุกลาม แต่ผลลัพธ์ก็ยังสะท้อนข้อจำกัดของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่สม่ำเสมอ
เมื่อพิจารณาเชิงลึกในระดับขนาดธุรกิจและอุตสาหกรรม ความเปราะบางกลับยิ่งเด่นชัด ธุรกิจซุปเปอร์ไมโครและไมโครมี NPL สูงติดอันดับต่อเนื่องหลายไตรมาส ขณะที่ธุรกิจหลักอย่างค้าส่งค้าปลีก ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และที่พักแรม ต่างเผชิญแรงกดดันทั้งจากกำลังซื้อที่อ่อนแอ การแข่งขันจากปัจจัยภายนอก และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ปัญหาคุณภาพหนี้จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ SMEs อีกต่อไป แต่กำลังคืบคลานสู่ธุรกิจขนาดกลางและใหญ่ ซึ่งหากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไปโดยไม่มีมาตรการรองรับที่เพียงพอ ย่อมเสี่ยงต่อการสั่นคลอนเสถียรภาพของระบบการเงินโดยรวม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2 ปี 2568 ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยสะท้อนความเปราะบางของคุณภาพหนี้ชัดเจนขึ้น โดยสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL (Stage 3) ต่อสินเชื่อรวม ขยับจาก 2.81% ในไตรมาสแรกเป็น 2.83% ในไตรมาสถัดมา แม้การเพิ่มขึ้นจะไม่มาก แต่ถือเป็นสัญญาณทิศทางที่น่าจับตา โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาแหล่งที่มาของหนี้เสีย ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงมาจากกลุ่มสินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่มี NPL สูงถึง 7.79% ขณะที่สินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำเพียง 1.01%
ด้านสินเชื่อรายย่อย แม้ภาพรวมจะมีแนวโน้มลดลง แต่ก็ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อที่อยู่อาศัย (NPL 4.07%) สินเชื่อบัตรเครดิต (3.92%) สินเชื่อบุคคล (2.76%) และสินเชื่อเช่าซื้อ (2.06%) สะท้อนว่าความเสี่ยงจากหนี้ครัวเรือนและสินเชื่อรายย่อยยังคงกดดันต่อเสถียรภาพโดยรวม แม้ธนาคารพาณิชย์จะพยายามบริหารจัดการอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ สัดส่วนสินเชื่อที่อยู่ใน Stage 2 หรือสินเชื่อที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ก็ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยจาก 6.73% ในไตรมาสแรกเป็น 6.80% ในไตรมาส 2 อย่างไรก็ดี หากเจาะลึกพอร์ต SMEs จะเห็นว่ามีการลดลงเล็กน้อย อันเป็นผลบวกจากมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ที่ต่อเนื่อง ทั้งตามเกณฑ์ Responsible Lending (RL) และโครงการช่วยเหลือ เช่น “โครงการคุณสู้เราช่วย” ที่ภาครัฐและธนาคารพาณิชย์ร่วมดำเนินการ
ด้านข้อมูลจากเครดิตบูโร (National Credit Bureau: NCB) ก็สะท้อนแนวโน้มใกล้เคียงกัน โดยฐานข้อมูลฝั่งลูกหนี้ธุรกิจ (Commercial Database) ซึ่งครอบคลุมนิติบุคคลและไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล พบว่า ณ ไตรมาส 1 ปี 2568 สัดส่วนหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL และหนี้ที่ถูกตัดบัญชี) รวมกับหนี้จัดชั้นพิเศษ (Special Mention: SM หรือหนี้ค้างชำระ 31-90 วัน) อยู่ที่ 5.03% ของสินเชื่อธุรกิจทั้งหมด ใกล้เคียงระดับ 5.02% สิ้นปี 2567 อย่างไรก็ดี หากเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566 ภาพรวมกลับแย่ลง โดยปีนั้นหนี้ปัญหารวมยังอยู่เพียง 4.39%
เมื่อพิจารณาตามระยะเวลาการค้างชำระ พบว่าหนี้ที่ค้าง 31-90 วันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เทียบกับช่วงปีแรกหลังการเปิดประเทศ สะท้อนว่าความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจยังไม่ฟื้นกลับสู่ภาวะปกติ สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจไทยที่ยังฟื้นตัวช้าและไม่ทั่วถึง
เมื่อจำแนกคุณภาพหนี้ตามขนาดธุรกิจ จะเห็นความเชื่อมโยงชัดเจนระหว่างขนาดกิจการกับความเปราะบางทางการเงิน ยิ่งธุรกิจมีขนาดเล็ก สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยิ่งสูง โดยกลุ่มซุปเปอร์ไมโครที่มียอดสินเชื่อไม่เกิน 5 ล้านบาทมี NPL สูงที่สุดถึง 14.81% รองลงมาคือกลุ่มไมโคร (5-20 ล้านบาท) ที่ 12.11% และกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก (20-100 ล้านบาท) ที่ 9.75% ส่วนกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง (100-500 ล้านบาท) อยู่ที่ 6.51% ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่ที่มียอดสินเชื่อเกิน 500 ล้านบาทยังคงต่ำเพียง 1.37%
ที่น่าสังเกตคือกลุ่มซุปเปอร์ไมโคร ไมโคร และธุรกิจขนาดเล็กต่างมีแนวโน้ม NPL ปรับขึ้นต่อเนื่องหลายไตรมาส สวนทางกับหนี้ค้างชำระระยะสั้น (1-30 วัน) ของทุกกลุ่มธุรกิจที่ลดลงชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2567 เป็นต้นมา ปรากฏการณ์นี้เกิดจากการเร่งปรับโครงสร้างหนี้ โดยกว่า 87.8% ของบัญชีที่ได้รับการปรับโครงสร้างอยู่ในระบบธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ อีกทั้ง 77.9% ของบัญชีเหล่านี้ยังเป็นหนี้ที่ค้างไม่เกิน 30 วัน การเร่งปรับโครงสร้างเชิงรุกจึงช่วยชะลอไม่ให้หนี้จำนวนมากไหลลงไปสู่ชั้นเสีย
หากพิจารณาตามกลุ่มอุตสาหกรรม จะพบสัญญาณคุณภาพหนี้ที่ถดถอยในหลายภาคธุรกิจ โดยเฉพาะค้าส่งค้าปลีก ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจที่พักแรม ซึ่งต่างมีสัดส่วนหนี้ค้างชำระตั้งแต่ 31 วันขึ้นไปเพิ่มสูงขึ้น
ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกถือว่าน่ากังวลที่สุด เนื่องจากทั้งหนี้ NPL และหนี้จัดชั้นพิเศษ (SM) ต่างปรับขึ้นต่อเนื่องหลายไตรมาส ปัจจัยกดดันสำคัญมาจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่หดตัว การแข่งขันรุนแรงจาก Social Commerce และแรงกดดันจากสินค้านำเข้าจีนราคาถูก
ธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ก็เผชิญแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนในระดับสูงที่จำกัดกำลังซื้อสินทรัพย์ขนาดใหญ่ เช่น บ้านและที่อยู่อาศัย อีกทั้งการลงทุนใหม่ของเอกชนที่ชะลอตัวยิ่งทำให้คุณภาพหนี้ของกลุ่มนี้เสื่อมลงอย่างต่อเนื่อง
ธุรกิจที่พักแรมสะท้อนปัญหาชัดเจน หนี้ชั้น SM ปรับเพิ่มขึ้นหลังจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอตัว การฟื้นตัวของท่องเที่ยวยังไม่สม่ำเสมอ และยังถูกกดดันด้วยความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
ขณะที่ภาคการผลิต แม้หนี้ค้างชำระลดลงเล็กน้อยในไตรมาสล่าสุด แต่ยังอยู่ในระดับสูงและมีความเสี่ยงมากขึ้นในครึ่งหลังของปี 2568 หลังแรงหนุนจากการส่งออกแบบ Front Loading เพื่อเลี่ยงการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ หมดลง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่ามาตรการ Tariffs ของสหรัฐฯ จะกดดันการส่งออกไทยในครึ่งปีหลัง และอาจซ้ำเติมคุณภาพหนี้ของภาคการผลิตรวมถึงธุรกิจหลักอื่น ๆ
นอกจากนี้ แม้ที่ผ่านมา SMEs เป็นกลุ่มที่สะท้อนปัญหาคุณภาพหนี้รุนแรงที่สุด แต่ปัจจุบันปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ธุรกิจขนาดเล็ก หากเริ่มลุกลามไปสู่กลุ่มขนาดกลางและใหญ่แล้วเช่นกัน ในธุรกิจที่พักแรม ลูกค้าขนาดใหญ่เริ่มสะท้อนสัญญาณถดถอย ขณะที่ค้าส่งค้าปลีกปัญหาชัดขึ้นในกลุ่มลูกค้าขนาดกลาง และก่อสร้าง-อสังหาริมทรัพย์สะท้อนปัญหาในทั้งกลุ่มกลางและใหญ่ ทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่าปัญหาคุณภาพหนี้กำลังขยายวงกว้าง ท่ามกลางแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
เพื่อให้เข้าใจภาพจริงของคุณภาพหนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้นำฐานข้อมูลเชิงบัญชีของเครดิตบูโร (Commercial Database) มาจัดจำแนกหนี้ธุรกิจใหม่ตามพฤติกรรมการชำระย้อนหลังหนึ่งปี โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มปกติ (Good) กลุ่มเริ่มมีปัญหา (Newly Impaired) กลุ่มชำระไม่สม่ำเสมอหรือสลับค้าง (On-Off) และกลุ่มมีปัญหารุนแรง (Distressed)
ในมุมมองของสถาบันการเงิน บัญชีในกลุ่ม Newly Impaired, On-Off และ Distressed ถือเป็นบัญชีที่ “ไม่ปกติ” ซึ่งมักถูกจัดอยู่ในชั้น NPL อยู่ระหว่างพักชำระหนี้ หรือเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย
ผลการศึกษาพบว่า แม้หนี้ธุรกิจส่วนใหญ่กว่า 95% ยังอยู่ในกลุ่ม Good แต่สัดส่วนนี้ลดลงจากปีก่อน สวนทางกับกลุ่ม On-Off และ Distressed ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยจำนวนบัญชี On-Off ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 13,700 บัญชี เพิ่มจาก 10,900 บัญชีในปี 2567 ขณะที่บัญชี Distressed ก็ขยายตัวต่อเนื่องจาก 49,700 บัญชีในปี 2563 มาเป็น 66,300 บัญชีในปี 2567 และเพิ่มเป็น 69,200 บัญชีในไตรมาส 1 ปี 2568
หากขยายกรอบการวิเคราะห์ย้อนหลังถึงปี 2562 จะพบว่าช่วงแรกหลังการเปิดประเทศ สัดส่วนหนี้ในกลุ่ม Good เคยปรับตัวดีขึ้น แต่ตั้งแต่ปลายปี 2564 เป็นต้นมา คุณภาพหนี้กลับเสื่อมลงต่อเนื่อง โดยมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับผลประกอบการธุรกิจ สะท้อนจากอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) ของบริษัทจดทะเบียนที่ลดลงต่อเนื่อง และมีความสัมพันธ์เชิงสถิติสูงถึง 81% กับสัดส่วนบัญชีหนี้ดี
เมื่อแยกตามขนาดกิจการ ภาพชัดเจนยิ่งขึ้นว่าธุรกิจขนาดเล็ก ไมโคร และซุปเปอร์ไมโครมีสัดส่วนหนี้ที่ยังอยู่ในสถานะ Good ลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นมา ปรากฏการณ์นี้สะท้อนถึงจุดเปราะบางเชิงโครงสร้างที่ยังคงทวีความรุนแรง และเป็นความท้าทายสำคัญของระบบการเงินไทยในระยะข้างหน้า
สำหรับแนวทางการแก้หนี้ ผลการศึกษาของศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า หากบัญชีหนี้ค้างชำระเกิน 1 เดือน เช่น ในช่วง 31-60 วัน บัญชีเหล่านี้ยังมีโอกาสฟื้นกลับมาสู่สถานะปกติได้ถึง 35.1% ในไตรมาสถัดไป แต่ก็มีอีกประมาณ 11.8% ที่ไหลลงไปเป็น NPL ในช่วงเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม หากปล่อยให้หนี้ค้างชำระยืดเยื้อจนเข้าสู่สถานะ NPL แล้ว โอกาสสำเร็จของการแก้ไขผ่านการปรับโครงสร้างหนี้จะลดลงอย่างมาก ทั้งจากภาวะธุรกิจที่ย่ำแย่ลงตามเวลา และแรงจูงใจของลูกหนี้ที่ลดลง เนื่องจากดอกเบี้ยที่ทบต้นทำให้ภาระหนี้พองตัวขึ้นเรื่อย ๆ
การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านการแก้หนี้ยังสะท้อนว่า พฤติกรรมและความเชื่อที่ไม่ถูกต้องของลูกหนี้จำนวนไม่น้อยเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัว อาทิ การคิดว่าเจ้าหนี้ไม่เต็มใจช่วยเหลือจนไม่กล้าเจรจา การเชื่อคำแนะนำในโลกออนไลน์ว่าควรหนีหนี้แล้วรอ Haircut ในชั้นศาล การไม่ยอมขายทรัพย์สินมรดกเพื่อลดหนี้ การปกปิดหรือบิดเบือนข้อมูล และการหันไปพึ่งหนี้นอกระบบหรือสินเชื่อดอกเบี้ยสูงเพื่อโปะหนี้ธุรกิจ
พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้เมื่อหนี้เข้าสู่สถานะ NPL แล้ว โอกาสฟื้นตัวกลับมาเป็นบัญชีปกติหรือค้างชำระไม่เกิน 30 วันภายใน 1 ปีมีเพียง 9.2% ขณะที่กว่า 87.9% ของบัญชีที่เป็น NPL ยังคงอยู่ในสภาพเดิม ไม่สามารถฟื้นกลับมาได้
เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ ภาครัฐไทยได้ออกมาตรการแก้หนี้ทั้งฝั่งครัวเรือนและธุรกิจ โดยหนี้ครัวเรือนมีการออกแบบเฉพาะตามระยะและประเภทหนี้ ส่วนฝั่งธุรกิจมักใช้มาตรการครอบคลุมในวงกว้าง ตัวอย่างเช่น โครงการ “คุณสู้เราช่วย” สำหรับ SMEs ที่มียอดสินเชื่อไม่เกิน 5 ล้านบาท มหกรรมไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของกรมบังคับคดีสำหรับหนี้ NPL และมาตรการ Responsible Lending ที่ครอบคลุมทั้งก่อนและหลังหนี้กลายเป็น NPL
ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ข้อมูลเครดิตบูโร (NCB) พบว่า มาตรการ Responsible Lending ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด โดยเฉพาะเมื่อสามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้ตั้งแต่ก่อนที่ลูกหนี้จะถูกจัดชั้นเป็น NPL ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จของการฟื้นตัวจาก 35.1% ขยับขึ้นเกือบเป็นสองเท่า สะท้อนชัดว่าการแก้หนี้ “เชิงรุกและทันเวลา” มีความสำคัญต่อการรักษาคุณภาพหนี้ของระบบการเงิน
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การแก้ปัญหาหนี้ธุรกิจอย่างแท้จริงไม่อาจอาศัยเพียงมาตรการชั่วคราว แต่ต้องออกแบบให้มีความยั่งยืน ศูนย์วิจัยฯ จึงเสนอแนวทางสำคัญ 3 ด้าน ที่จะช่วยให้การแก้หนี้มีประสิทธิผลและยั่งยืนมากขึ้น ได้แก่
1) การจัดกลุ่มลูกหนี้และมาตรการเฉพาะ
แต่ละธุรกิจแตกต่างกันทั้งขนาดและลักษณะการดำเนินงาน การแก้หนี้จึงต้องออกแบบให้ตรงจุด โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยเสนอการแบ่งมาตรการออกเป็น 2 ระยะ คือ Pre-NPLs และ Post-NPLs
Pre-NPLs: ใช้มาตรการ Responsible Lending การให้คำแนะนำเชิงรุก และการค้ำประกันสินเชื่อผ่าน บสย. อย่างไรก็ดี มาตรการที่มีอยู่ยังจำกัดด้วยเงินทุน ข้อเสนอใหม่จึงควรครอบคลุมยิ่งขึ้น เช่น เปิดทางให้ลูกหนี้ที่ยังปกติแต่กังวลปัญหาในอนาคต สามารถปรับเงื่อนไขชำระชั่วคราวได้ รวมถึงการต่ออายุโครงการ Asset Warehousing ที่จะสิ้นสุดในปี 2569 เพื่อช่วย SMEs และธุรกิจอื่น ๆ ฝากทรัพย์ชั่วคราว ลดภาระผ่อน และยืดเวลาฟื้นตัว
Post-NPLs: เน้นมาตรการเฉพาะ เช่น การออกแบบดูแลธุรกิจรายสาขาเหมือนกรณีเกาหลีใต้ สนับสนุนการแก้หนี้นอกศาล (Out-of-Court Workouts) เช่น การตีโอนทรัพย์เพื่อปิดบัญชีหนี้ หรือช่วยขายทรัพย์เพื่อลดภาระหนี้ รวมถึงเร่งรัดกระบวนการศาลและเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ซื้อคืนทรัพย์ NPA ที่เคยเป็นของตนในราคาสมเหตุสมผล
2) ความร่วมมือจากทุกฝ่าย
มาตรการใดจะได้ผล ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากลูกหนี้ เจ้าหนี้ และภาครัฐ ตัวอย่างเช่น มาตรการ Asset Warehousing จะสำเร็จได้ต่อเมื่อลูกหนี้ยอมฝากทรัพย์ เจ้าหนี้ยอมปรับเงื่อนไข และรัฐผ่อนปรนค่าธรรมเนียมหรือเกณฑ์จัดชั้นหนี้ ในทำนองเดียวกัน มาตรการตีโอนจบหนี้จะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายยอมแบ่งรับต้นทุนและความสูญเสียร่วมกัน
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการสร้าง “วัฒนธรรมเครดิตที่ถูกต้อง” โดยกระตุ้นให้ลูกหนี้สื่อสารกับเจ้าหนี้ตั้งแต่เริ่มมีสัญญาณปัญหา ไม่ปล่อยยืดเยื้อ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดโอกาสที่หนี้จะไหลลงสู่ NPL ได้ดีกว่า
3) การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
การแก้หนี้ที่ยั่งยืนไม่อาจแยกขาดจากเศรษฐกิจมหภาคที่มั่นคง จำเป็นต้องอาศัยนโยบายการเงินที่น่าเชื่อถือ ระบบสถาบันการเงินที่แข็งแรง กรอบกฎหมายที่เอื้อต่อการแก้หนี้นอกศาล และกระบวนการพิจารณาล้มละลายที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
เมื่อเศรษฐกิจมหภาคเติบโตอย่างสมดุล รายได้ธุรกิจและครัวเรือนเพิ่มขึ้น ภาระค่าครองชีพและต้นทุนธุรกิจไม่สูงเกินไป ความสามารถในการชำระหนี้ก็จะดีขึ้น หากระบบการเงินมั่นคงและตลาดเอื้อต่อการระดมทุน ก็จะช่วยให้มาตรการแก้หนี้ทำงานได้อย่างกว้างขวางและมีประสิทธิผล
สำหรับประเทศไทย การเติบโตที่ยั่งยืนต่อจากนี้ต้องพึ่งพาการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการยกระดับขีดความสามารถแข่งขันระยะยาว หากขาดการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ตัวเลขคุณภาพหนี้ซึ่งสะท้อนภาวะเศรษฐกิจและธุรกิจ (Lagging Indicators) จะยังคงเสื่อมถอย และยิ่งซ้ำเติมปัญหากับดักการพัฒนาที่ไทยกำลังเผชิญอยู่