รัฐบาลสิงคโปร์กำลังเร่งปราบปรามการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียนอย่างหนักหน่วง ทำให้ทั้งผู้ปกครองและนักเรียนต่างตกใจ โดยหลายคนแสดงความกังวลว่า มาตรการใหม่นี้ดูจะรุนแรงเกินไปและไม่แน่ใจว่าจะได้ผลจริงหรือไม่
อัลวิน หลำ ชาวสิงคโปร์วัย 48 ปีที่มีลูกสาววัยมัธยมสองคน กล่าวว่า “ความรู้สึกแรกของผมเมื่อได้ยินข่าวเรื่องชุดทดสอบนิโคตินและเครื่องตรวจจับโลหะในโรงเรียนคือตกใจและเศร้าใจ จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องน่าผิดหวังที่ปัญหาการระบาดของการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในหมู่วัยรุ่นมาถึงจุดที่ต้องใช้มาตรการรุนแรงขนาดนี้” เขาแชร์มุมมองว่า รู้สึกเหมือนรัฐบาลสิงคโปร์กำลังปฏิบัติกับโรงเรียนของเราให้เป็นเขตที่มีการรักษาความปลอดภัยสูง แทนที่จะเป็นสถานที่แห่งการเรียนรู้ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนที่น่าเศร้าของสถานการณ์ปัจจุบัน
เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว (28 ส.ค.) กระทรวงศึกษาธิการของสิงคโปร์ (MOE) เปิดเผยว่าได้ดำเนินโครงการแจกจ่ายชุดทดสอบนิโคตินให้กับโรงเรียนประมาณ 260 แห่งตั้งแต่เดือนมีนาคม นอกจากนี้ โรงเรียนบางแห่งยังใช้เครื่องตรวจจับโลหะและส่งเสริม “วัฒนธรรมการเฝ้าระวังโดยเพื่อน” โดยกระตุ้นให้นักเรียนรายงานเพื่อนร่วมชั้นที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า
การดำเนินการนี้มีขึ้นหลังจากพบว่า จำนวนคดีการสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยโรงเรียนรายงานคดีเฉลี่ยปีละ 3,100 คดี และสถาบันอุดมศึกษารายงานปีละ 800 คดีระหว่างปี 2022-2024 ซึ่งแตกต่างจากช่วงก่อนปี 2020 ที่มีรายงานคดีดังกล่าวไม่ถึง 50 คดีต่อปี
นายหลำ ซึ่งลูก ๆ มีอายุ 13 และ 11 ปี กล่าวว่า พวกเขาไม่เคยพบเจอใครสูบบุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียนของพวกเขาเลย แม้จะยอมรับเจตนารมณ์ของรัฐบาล แต่เขาก็ตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของมาตรการในระยะยาว เขากล่าวว่า “มาตรการเหล่านี้อาจช่วยยับยั้งได้ในบางส่วน แต่ไม่ได้แก้ไขสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้นักเรียนเริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้าตั้งแต่แรก เช่น การตลาดที่มุ่งเป้าไปที่วัยรุ่น แรงกดดันจากเพื่อน และการขาดความตระหนักถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ร้ายแรง เราต้องมุ่งเน้นที่การให้ความรู้และการสนับสนุนมากขึ้น ไม่ใช่แค่การลงโทษ”
เพื่อเป็นการลดความกังวลของผู้ปกครอง กระทรวงศึกษาธิการสิงคโปร์กล่าวว่า การทดสอบนิโคตินจะถูกนำมาใช้เมื่อมีผู้ต้องสงสัยที่ยังไม่ยอมรับว่าสูบบุหรี่ไฟฟ้า โรงเรียนจะแจ้งให้ผู้ปกครองของนักเรียนทราบด้วยเช่นเดียวกับมาตรการทางวินัยอื่น ๆ เนื่องจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าได้กลายเป็น “ปัญหาสังคม” โรงเรียนต่างๆ จึงได้สำรวจวิธีการตรวจจับอุปกรณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโรงเรียนบางแห่งได้ซื้อเครื่องตรวจจับโลหะทำการคตรวจสอบในกรณีพิเศษจริง ๆ
ขณะที่สถาบันอุดมศึกษาในสิงคโปร์ส่วนใหญ่ ไม่ได้ติดตั้งเครื่องตรวจจับโลหะ แม้ว่าบางแห่งจะทดลองใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว แต่ยังต้องตรวจสอบประสิทธิภาพก่อนที่จะนำไปใช้ในวงกว้างมากขึ้น กระทรวงศึกษาธิการเสริม
เดสมอน ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศบทลงโทษทางวินัยที่เข้มงวดขึ้นสำหรับนักเรียนที่ถูกจับได้ว่าสูบบุหรี่ไฟฟ้าไว้ดังนี้
อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองชาวสิงคโปร์ได้แสดงความกังวลว่า การบังคับใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ นายแอรอน เก๊าะ พ่อของลูกชายอายุ 17 ปีที่กำลังศึกษาอยู่ที่สถาบัน Institute of Technical Education ชี้ให้เห็นว่า บุหรี่ไฟฟ้าสามารถหาซื้อออนไลน์ได้ง่ายดายเพียงใด เขากล่าวว่า “ในฐานะพ่อแม่ สิ่งสำคัญสำหรับผมคือต้องบอกลูกชายว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าไม่ต่างอะไรกับการสูบบุหรี่ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือคุณไม่รู้ว่าคุณกำลังสูบอะไรอยู่”
แม้ว่านายเก๊าะจะสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดในโรงเรียน แต่เขาก็เตือนว่า มาตรการใหม่นี้อาจผลักดันให้นักเรียนหาวิธีใหม่ในการซ่อนอุปกรณ์ของตน ความท้าทายของการตรวจสอบคือพวกเขาอาจจะไปสูบนอกโรงเรียนหรือไปสูบที่บ้านแทนได้อยู่ดี
ไม่ใช่แค่ผู้ปกครองเท่านั้นที่ตั้งคำถามกับแนวทางตรวจสอบดังกล่าว นักเรียนเองก็รู้สึกตกใจกับความรุนแรงของมาตรการแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าระบาดเช่นกัน บิเดลเลีย ไหล นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กล่าวว่า เธอจะไม่รายงานเพื่อนหากพวกเขากำลังสูบบุหรี่ไฟฟ้า นักเรียนวัย 15 ปีคนนี้ อาจจะไม่พูดเตือนเรื่องนี้กับเพื่อนเลยด้วยซ้ำ
เธอกล่าวว่า “ตราบใดที่ฉันไม่ได้กลิ่นบุหรี่ในห้องเรียน มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อฉัน ฉันก็เลยไม่สนใจ” เธอยังเล่าให้ฟังอีกว่า มีข่าวลือว่านักเรียนสองคนในโรงเรียนของเธอถูกอาจารย์ใหญ่จับได้ว่าสูบบุหรี่ไฟฟ้าในห้องน้ำของโรงเรียนเมื่อสองสามเดือนก่อน แต่เธอสงสัยว่าการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดขึ้นจะสามารถหยุดยั้งนักเรียนได้อย่างสิ้นเชิงหรือไม่ เธอกล่าวว่ามันอาจจะทำให้นักเรียนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าหาวิธีหลบเลี่ยงมากกว่าที่จะเลิกสูบ
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา รัฐบาลยังได้ประกาศค่าปรับที่สูงขึ้นสำหรับผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าและการเฆี่ยนตีสำหรับผู้ที่นำเข้า etomidate (สารอันตรายที่ผสมในบุหรี่ไฟฟ้า) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน เป็นส่วนหนึ่งของชุดมาตรการลงโทษที่รุนแรงขึ้นสำหรับทั้งผู้เสพและผู้จำหน่าย
ดยุธี บาตต์ นักเรียนวัย 14 ปีจาก School of the Arts กล่าวว่า “ฉันมองว่ากฎระเบียบเหล่า ใช้ได้ในพื้นที่ที่มีการรักษาความปลอดภัยสูงอย่างสนามบินและจุดตรวจ แต่พอมันถูกนำมาใช้ในโรงเรียนทำให้ฉันตระหนักว่าสถานการณ์บุหรี่ไฟฟ้าในสิงคโปร์นั้นร้ายแรงแค่ไหน”