ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ผลักดันให้ชาติสมาชิกการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ หรือ SCO ร่วมกันขยายประโยชน์ผ่านตลาดขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันก็ประกาศถึงเป้าหมายในการสร้างความมั่นคงโลกและระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ ซึ่งจะเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ต่อสหรัฐฯ
การประชุม SCO เปิดฉากขึ้นระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม - 1 กันยายนนี้ ที่นครเทียนจิน ประเทศจีน โดยประธานาธิบดีสีได้กล่าวเปิดการประชุมต่อหน้าบรรดาผู้นำประเทศต่าง ๆ กว่า 20 ประเทศ และยืนยันว่า รัฐบาลจีนจะมอบความช่วยเหลือแบบฟรี ๆ จำนวน 2,000 ล้านหยวน ให้แก่ชาติสมาชิกในปีนี้ และยังจะมีการออกเงินกู้มูลค่า 10,000 ล้านหยวน ผ่านสมาคมการเงินธนาคารขององค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นกลไกความร่วมมือทางการเงินภายใต้ SCO
ประธานาธิบดีสียังกล่าวว่า “เราจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากตลาดขนาดใหญ่ เพื่อยกระดับความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน” พร้อมทั้งเรียกร้องให้กลุ่มประเทศสมาชิกเพิ่มความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ทั้งพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI
ส่วนเมื่อค่ำวานนี้ (31 สิงหาคม) สี จิ้นผิง ได้กล่าวถ้อยแถลงดังกล่าวในงานเลี้ยงต้อนรับแขกผู้มาเยือนจากนานาประเทศ เพื่อร่วมประชุม SCO โดยก่อนเริ่มงานเลี้ยง ประธานาธิบดีสี และภริยาได้ออกมาต้อนรับแขกผู้มาถึงด้วยตนเอง
ในการกล่าวสุนทรพจน์ สี จิ้นผิง แสดงความมั่นใจว่าด้วยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดจากทุกฝ่าย การประชุมสุดยอดครั้งนี้จะประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ พร้อมย้ำว่า SCO จะมีบทบาทที่ยิ่งใหญ่ขึ้นและบรรลุความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น อันจะเป็นพลังสำคัญในการเสริมสร้างเอกภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก ขับเคลื่อนพลังของกลุ่มประเทศ “Global South” และผลักดันให้ความก้าวหน้าของอารยธรรมมนุษยชาติเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง
องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ก่อตั้งขึ้นที่นครเซี่ยงไฮ้เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2001 จากเดิมที่มีสมาชิกผู้ก่อตั้ง 6 ประเทศ ปัจจุบันได้ขยายจนมีสมาชิก 26 ประเทศ ประกอบด้วยสมาชิกเต็มรูปแบบ 10 ประเทศ ประเทศผู้สังเกตการณ์ 2 ประเทศ และประเทศคู่เจรจาอีก 14 ประเทศ ครอบคลุมภูมิภาคเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา
ด้วยการมีประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาที่สำคัญ เช่น จีน รัสเซีย และอินเดีย SCO จึงเป็นตัวแทนของประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของโลก และคิดเป็นหนึ่งในสี่ของเศรษฐกิจโลก
การประชุมสุดยอดที่เมืองเทียนจินครั้งนี้ ถือเป็นการประชุมประจำปีที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่ม
ผู้นำที่เข้าร่วมการประชุมสุดยอด SCO ครั้งนี้ ในกลุ่มประเทศสมาชิก ได้แก่ นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย, ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย, ประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเกียน ของอิหร่าน, นายกรัฐมนตรีเชห์บาซ ชารีฟ ของปากีสถาน, ประธานาธิบดีอเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก ของเบลารุส, ประธานาธิบดีคาสซิม-โจมาร์ต โตคาเยฟ ของคาซัคสถาน, ประธานาธิบดีชัฟคัต มีร์ซิโยเยฟ ของอุซเบกิสถาน, ประธานาธิบดีซาดีร์ จาพารอฟ ของคีร์กีซสถาน และประธานาธิบดีเอโมมาลี ราห์มอน ของทาจิกิสถาน
ส่วนประเทศคู่เจรจาได้แก่ ตุรกี กัมพูชา อาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจาน อียิปต์ มัลดีฟส์ เนปาล และยังมีประเทศอื่น ๆ ที่ได้รับเชิญ เช่น สปป.ลาว อินโดนีเซีย เวียดนาม เป็นต้น
สำนักข่าว CNBC รายงานว่า แม้ยังไม่ชัดเจนว่าการประชุมสุดยอด SCO จะนำไปสู่ความก้าวหน้าในการคลี่คลายความตึงเครียดได้จริงหรือ แต่นักวิเคราะห์ชี้ว่า การที่จีนเริ่มผ่อนคลายความสัมพันธ์กับอินเดีย อาจช่วยเสริมอิทธิพลของรัฐบาลจีนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
มาร์โก ปาปิค หัวหน้านักกลยุทธ์แห่ง GeoMacro Strategy BCA Access ระบุว่า การปรับความสัมพันธ์กับอินเดียถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะจะเป็นการเปิดโอกาสให้อินเดียสามารถเข้าถึงทรัพย์สินทางปัญญาที่สำคัญได้ หากอินเดียต้องการอุตสาหกรรมและการผลิตที่เติบโตขึ้น ส่วนในระยะยาว สหรัฐฯ กำลังแพ้ในสงครามโฆษณาชวนเชื่อที่พยายามทำให้จีนถูกมองว่าเป็นผู้ก่อปัญหาหลัก
ส่วนเฮนรี ฮุ่ยเหยา หวัง ผู้ก่อตั้งและประธานศูนย์วิจัย Center for China and Globalization ที่กรุงปักกิ่ง กล่าวว่า จีนได้ริเริ่มทั้งความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความพยายามสร้างสันติภาพ พร้อมชี้ให้เห็นความพยายามของจีนและอินเดียในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ และแสดงความหวังว่าอินเดียกับปากีสถานจะทำเช่นเดียวกัน
หวังยังระบุว่า จีนอาจใช้ความสัมพันธ์อันดีกับรัสเซียเพื่อช่วยเจรจาข้อตกลงยุติสงครามรัสเซีย–ยูเครน โดย SCO หรือประเทศสมาชิกอย่างจีนและอินเดีย สามารถทำหน้าที่เป็นผู้ค้ำประกันด้านความมั่นคงได้
ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานอ้างนักวิเคราะห์ระบุว่า จีนตั้งใจใช้การประชุมครั้งนี้เป็นเวทีในการผลักดันระเบียบโลกทางเลือก แทนที่ระบบเดิมที่สหรัฐฯ เป็นผู้นำ พร้อมทั้งฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอินเดีย ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์