Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
จีน-อินเดียกระชับสัมพันธ์ กระทบสหรัฐฯอย่างไร เมื่อสองยักษ์เอเชียจับมือ
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

จีน-อินเดียกระชับสัมพันธ์ กระทบสหรัฐฯอย่างไร เมื่อสองยักษ์เอเชียจับมือ

1 ก.ย. 68
11:43 น.
แชร์

นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีของอินเดีย และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน เข้าพบปะหารือกันเมื่อวานนี้ (31 สิงหาคม) นอกรอบการประชุม SCO โดยนับเป็นอีกครั้งที่สองชาติยืนยันว่า อินเดียและจีนกำลังพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนร่วมกัน ไม่ใช่ศัตรู หลังทั้งสองฝ่ายหารือเกี่ยวกับการพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้า ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ไม่แน่นอนจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศกำแพงภาษีใหม่ 

แต่ภาพที่สี จิ้นผิง และโมดีจับมือกันอย่างชื่นมื่น อาจจะกลายเป็นภาพที่บาดตาสำหรับชาติตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ การที่จีนและอินเดียกระชับสัมพันธ์แน่นแฟ้น อาจจะส่งผลกระทบต่อพี่ใหญ่อย่างสหรัฐฯ มากกว่าที่คิด

จีน-อินเดียกระชับสัมพันธ์ กระทบสหรัฐฯ แน่นอน

การเยือนครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีที่นายกฯ โมดีเดินทางไปจีน เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ หรือ SCO ซึ่งกำลังเปิดฉากขึ้นในวันจันทร์ที่ 1 กันยายน โดยมีทั้งมีผู้นำรัสเซียอย่างวลาดิเมียร์ ปูติน รวมถึงผู้นำจากอิหร่าน ปากีสถาน และอีกสี่ประเทศในเอเชียกลาง เข้าร่วม แสดงถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของกลุ่มประเทศ “Global South”

นักวิเคราะห์ชี้ว่า สี และ โมดี กำลังพยายามหาทางร่วมมือกันเพื่อต้านแรงกดดันจากชาติตะวันตก เพียงไม่กี่วันหลังประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดียในอัตราสูงถึง 50% ส่วนหนึ่งเพื่อตอบโต้การที่รัฐบาลอินเดียซื้อน้ำมันจากรัสเซีย 

มาตรการนี้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์สหรัฐฯ–อินเดียที่สั่งสมมาหลายสิบปี และทำลายความหวังของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่อยากให้อินเดียเป็นประเทศถ่วงดุลจีนในภูมิภาค

โมดีบอกกับสีว่า อินเดียยึดมั่นในการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับจีน พร้อมหารือถึงการลดการขาดดุลการค้าทวิภาคีที่พุ่งสูงเกือบ 99,200 ล้านดอลลาร์ อีกทั้งย้ำถึงความจำเป็นในการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพตามแนวชายแดนพิพาทระหว่างจีนและอินเดีย ซึ่งเคยเกิดการปะทะเมื่อปี 2020 จนกลายเป็นภาวะเผชิญหน้าทางทหารยืดเยื้อนานห้าปี

“เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความเคารพ ความไว้วางใจ และความเข้าใจซึ่งกันและกัน” โมดีกล่าวระหว่างการประชุมที่มีขึ้นก่อนการประชุมสุดยอด SCO พร้อมเสริมว่า บรรยากาศของ “สันติภาพและเสถียรภาพ” ได้ก่อตัวขึ้นบริเวณชายแดนเทือกเขาหิมาลัย และการร่วมมือกันของทั้งสองประเทศเชื่อมโยงโดยตรงกับผลประโยชน์ของประชากรที่มีรวมกันมากถึง 2,800 ล้านคน ซึ่งถือเป็นสองชาติที่มีประชากรมากที่สุดในโลก


ชายแดนจีน-อินเดีย ปัญหาหลักของสองชาติ

จีนและอินเดียต่างเป็นเพื่อนบ้านที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองเช่นกัน และมีพรมแดนร่วมกันยาวกว่า 3,800 กิโลเมตร แต่บริเวณชายแดนเหล่านั้น พื้นที่ก็คงคลุมเครือ ไม่แน่ชัดว่าเป็นของใคร และเป็นข้อพิพาทมาตั้งแต่ทศวรรษ 1950

สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า สี จิ้นผิง ย้ำว่าจีนและอินเดียควรมองกันเป็น “โอกาสในการพัฒนา ไม่ใช่ภัยคุกคาม” พร้อมกล่าวว่าไม่ควรปล่อยให้ปัญหาชายแดนมากำหนดทิศทางความสัมพันธ์โดยรวมระหว่างสองประเทศ

ทั้งสองผู้นำยังเห็นพ้องว่า เป้าหมายหลักของจีนและอินเดียคือการพัฒนาภายในประเทศ และทั้งสองประเทศคือ “หุ้นส่วน” มากกว่าที่จะเป็นคู่แข่งกัน

สีเสริมว่า ความสัมพันธ์จีน–อินเดียสามารถมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาวได้ หากทั้งสองฝ่ายเลือกที่จะมองกันเป็นพันธมิตรแทนการเป็นคู่แข่ง

ความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติเคยแตกร้าวอย่างหนักหลังเหตุปะทะในปี 2020 ซึ่งทำให้ทหารอินเดียเสียชีวิต 20 นาย และจีน 4 นาย จากการต่อสู้ประชิดตัว หลังเหตุการณ์นั้น พรมแดนหิมาลัยถูกเสริมกำลังทางทหารอย่างหนาแน่นโดยทั้งสองฝ่าย


แชร์
จีน-อินเดียกระชับสัมพันธ์ กระทบสหรัฐฯอย่างไร เมื่อสองยักษ์เอเชียจับมือ