อินเดียกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญทางการทูต เมื่อจีนและสหรัฐฯ ใช้ท่าทีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงต่อบทบาทของอินเดียในเวทีโลก สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เลือกเส้นทางแข็งกร้าว เดินหน้าขึ้นภาษีการค้านำเข้า และโจมตีการซื้อน้ำมันรัสเซียของอินเดียอย่างเปิดเผย ในทางตรงกันข้าม จีนกลับส่งสัญญาณสร้างสรรค์ เปิดประตูความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ ดันให้ความสัมพันธ์อินเดีย-จีน แนบแน่นขึ้น
หลังได้พบกับหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีนที่กรุงนิวเดลีเมื่อวันอังคารที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ประกาศอย่างชัดเจนว่าเขาตั้งตารอการเยือนจีนปลายเดือนสิงหาคม เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ที่เมืองเทียนจิน การเดินทางครั้งนี้ถือเป็นการเยือนจีนครั้งแรกในรอบเจ็ดปีของผู้นำอินเดีย และมีนัยสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเกิดขึ้นเพียงหนึ่งปีหลังจากที่โมดีพบประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เมืองคาซาน ระหว่างการประชุม BRICS ซึ่งถูกมองว่าเป็นการเริ่มต้นของบทสนทนาเชิงบวกครั้งใหม่
“ความสัมพันธ์อินเดีย-จีนก้าวหน้าอย่างมั่นคงโดยยึดหลักการเคารพผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน” โมดีกล่าวบนแพลตฟอร์ม X “ความสัมพันธ์ที่มั่นคง คาดการณ์ได้ และสร้างสรรค์ระหว่างอินเดียกับจีน จะช่วยส่งเสริมสันติภาพและความรุ่งเรืองทั้งในภูมิภาคและระดับโลกอย่างมีนัยสำคัญ”
อย่างไรก็ตาม ความหวังของอินเดียในการฟื้นสัมพันธ์กับจีนเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับแรงบีบมหาศาลจากสหรัฐฯ การขึ้นภาษีนำเข้ารวม 50% และคำกล่าวหาจากรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ว่าอินเดีย “หากำไร” จากการซื้อน้ำมันรัสเซีย กำลังทดสอบความสามารถของอินเดียในการสร้างสมดุลใหม่ระหว่างการรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับพันธมิตร และการรักษาบทบาทในสมการภูมิรัฐศาสตร์โลก
เมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน เดินทางเยือนกรุงนิวเดลีเป็นครั้งแรกในรอบสามปี ท่ามกลางความพยายามของทั้งสองฝ่ายในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดจากปัญหาพรมแดนในช่วงที่ผ่านมา
วาระสำคัญของการเยือนครั้งนี้คือการหารือกับอาจิต โดวาล ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติอินเดีย และเอส. ไจศังการ์ รัฐมนตรีต่างประเทศ โดยแหล่งข่าวในกรุงนิวเดลีเปิดเผยกับ Nikkei Asia ว่า หวังได้ยืนยันว่าจีนกำลังตอบสนองต่อความต้องการของอินเดียในด้านปุ๋ย แร่หายาก และเครื่องเจาะอุโมงค์
ทรัพยากรเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญทั้งต่อภาคเกษตรกรรมและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของอินเดีย โดยเฉพาะในโครงการขุดอุโมงค์และเหมืองแร่ ซึ่งที่ผ่านมาอินเดียประสบข้อจำกัดจากมาตรการควบคุมการส่งออกของจีน ทำให้การยืนยันครั้งนี้มีนัยสำคัญต่อทิศทางความร่วมมือระหว่างสองประเทศ
นอกจากนี้ การเยือนครั้งนี้ยังมีนัยทางการเมืองที่ลึกซึ้ง เนื่องจากเกิดขึ้นก่อนการเดินทางของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ไปยังจีนเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ปลายเดือนนี้ อีกทั้งยังตรงกับช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ กำลังเผชิญความตึงเครียดขั้นรุนแรง ภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้าส่งออกจากอินเดียรวม 50% โดยเริ่มเก็บ 25% ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม และจะเพิ่มอีก 25% ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคมสำหรับการนำเข้าน้ำมันรัสเซีย ความเคลื่อนไหวนี้ถูกมองว่าเป็นการกดดันอินเดียให้ลดการพึ่งพารัสเซีย แต่กลับกลายเป็นปัจจัยผลักดันให้อินเดียเร่งกระชับความสัมพันธ์กับจีนและประเทศสมาชิก BRICS อื่น ๆ
ในระหว่างการหารือกับไจศังการ์และโดวาล ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยในหลายประเด็นที่สะท้อนถึงความพยายามสร้างบรรยากาศความสัมพันธ์ใหม่ ได้แก่ การฟื้นฟูการค้าและการลงทุนทวิภาคี การรื้อฟื้นเที่ยวบินตรงที่ถูกระงับในช่วงโควิด-19 และการอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าเพื่อกระตุ้นการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน ล่าสุดอินเดียได้กลับมาออกวีซ่าท่องเที่ยวให้กับชาวจีน หลังจากระงับไปกว่าสามปี ถือเป็นสัญญาณบวกที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจและการท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังมีการหารือถึงการแบ่งปันข้อมูลแม่น้ำข้ามพรมแดน ซึ่งเป็นประเด็นที่อินเดียให้ความสำคัญต่อการจัดการทรัพยากรน้ำ รวมถึงการค้าชายแดนในพื้นที่หิมาลัยซึ่งเคยถูกจำกัดจากความขัดแย้ง
ในช่วงเย็นวันเดียวกัน หวัง อี้ ยังได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีโมดีโดยตรง หลังการพบ โมดีได้โพสต์ข้อความบน X ว่าความสัมพันธ์อินเดีย–จีนมี “ความก้าวหน้าอย่างมั่นคง ภายใต้กรอบการเคารพซึ่งกันและกันและคำนึงถึงความอ่อนไหวของอีกฝ่าย” เขายังย้อนกล่าวถึงการพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เมืองคาซาน เมื่อเดือนตุลาคมปีก่อน ระหว่างการประชุมสุดยอด BRICS ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมาพูดคุยเชิงบวก พร้อมทั้งเสริมว่า “ผมเฝ้ารอการพบปะครั้งต่อไปที่เมืองเทียนจิน ระหว่างการประชุมสุดยอด SCO”
โมดีเน้นย้ำว่าความสัมพันธ์ที่ “มั่นคง คาดการณ์ได้ และสร้างสรรค์” จะมีบทบาทสำคัญต่อสันติภาพและความมั่งคั่งทั้งในระดับภูมิภาคและโลก สำนักนายกรัฐมนตรีอินเดียยังเปิดเผยว่า โมดีได้ย้ำกับหวังถึงความสำคัญของการรักษาสันติภาพและความสงบตามแนวพรมแดน พร้อมยืนยันความมุ่งมั่นของอินเดียที่จะหาทางออก “อย่างเป็นธรรม มีเหตุผล และเป็นที่ยอมรับร่วมกัน”
ในช่วงที่ผ่านมาแม้สัญญาณเชิงบวกเริ่มปรากฏชัด แต่ปัญหาพรมแดนยังคงเป็นประเด็นหลักที่กำหนดทิศทางความสัมพันธ์ โดยอินเดียและจีนมีเส้นเขตแดนยาวเกือบ 3,500 กิโลเมตร หรือที่เรียกว่า “เส้นควบคุมความจริง” (LAC) ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่มีการปักปันที่ชัดเจนและเป็นต้นเหตุของข้อพิพาทยาวนาน ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศพุ่งสูงสุดในปี 2020 ที่หุบเขากัลวาน เขตลาดักตะวันออก เมื่อทหารทั้งสองฝ่ายปะทะกันด้วยมือเปล่าและอาวุธประจำกายเบื้องต้น ส่งผลให้ทหารอินเดียเสียชีวิต 20 นาย และทหารจีนเสียชีวิต 4 นาย เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ความสัมพันธ์ตกต่ำถึงขีดสุด
อย่างไรก็ตาม หลังจากทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงเมื่อเดือนตุลาคมปีก่อนเกี่ยวกับการจัดระเบียบการลาดตระเวนตามแนวพรมแดนหิมาลัย สถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง โดวาลกล่าวระหว่างการหารือว่า เขารู้สึกยินดีที่เห็นความสัมพันธ์ทวิภาคีมี “แนวโน้มที่ดีขึ้น เขตแดนสงบเงียบ และการมีปฏิสัมพันธ์ทวิภาคีมีสาระสำคัญมากขึ้น”
ด้านไจศังการ์ก็โพสต์บน X ว่าความสัมพันธ์อินเดีย-จีน “ควรตั้งอยู่บนหลักการสาม Mutuals” ได้แก่ mutual respect, mutual sensitivity และ mutual interest พร้อมย้ำว่าหากทั้งสองฝ่ายต้องการก้าวข้ามช่วงเวลาที่ยากลำบาก จำเป็นต้องมีท่าทีที่ “เปิดเผยและสร้างสรรค์” เขายังแสดงความมั่นใจว่าการหารือครั้งนี้จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงและมุ่งสู่อนาคต
ในอีกมุมหนึ่ง สื่อทางการจีน ซินหัว รายงานคำกล่าวของหวัง อี้ ที่วิพากษ์การเมืองโลกว่า “ในโลกปัจจุบัน สถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การใช้อำนาจฝ่ายเดียวและการกลั่นแกล้งยังคงแพร่หลาย ขณะที่การค้าเสรีและระเบียบระหว่างประเทศกำลังเผชิญความท้าทายรุนแรง” ซึ่งถูกมองว่าเป็นการพาดพิงไปยังสหรัฐฯ ที่เพิ่งออกมาตรการภาษีใหม่ต่ออินเดียและกดดันในประเด็นน้ำมันรัสเซีย
ในอีกด้านหนึ่ง อินเดียกำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักจากสหรัฐฯ หลังวอชิงตันประกาศมาตรการภาษีตอบโต้รวม 50% ต่อการซื้อน้ำมันรัสเซีย โดยรอบแรก 25% มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม และอีก 25% จะตามมาในวันที่ 27 สิงหาคมนี้
ตลอดช่วงที่ผ่านมา สก็อต เบสเซนท์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ได้ยกระดับการวิพากษ์วิจารณ์ต่ออินเดีย โดยกล่าวหาว่า “หากำไร” จากการซื้อน้ำมันรัสเซีย พร้อมเปิดเผยว่าสหรัฐฯ กำลังพิจารณามาตรการภาษีทุติยภูมิเพิ่มเติม เขาระบุว่า “พวกเขาขายต่อ ได้กำไรส่วนเกินถึง 16,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งตกอยู่กับครอบครัวร่ำรวยที่สุดบางตระกูลในอินเดีย”
ถ้อยแถลงดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการพาดพิงโดยตรงถึงมูเกช อัมบานี มหาเศรษฐีที่มั่งคั่งที่สุดของเอเชียและประธาน Reliance Industries Ltd. ซึ่งเป็นเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกทางฝั่งตะวันตกของอินเดีย Reliance มีสัญญาระยะยาวในการซื้อน้ำมันรัสเซีย และถูกมองว่าได้รับผลประโยชน์สูงจากส่วนต่างราคา หุ้นบริษัทปรับตัวลงมากถึง 0.7% ในการซื้อขายเช้าวันพุธ ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาเกือบทรงตัว โดย Reliance ยังคงเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในอินเดียและเป็นหนึ่งในหุ้นหลักของดัชนี Nifty 50
เบสเซนท์ยังชี้แจงการที่สหรัฐฯ เลือกไม่ใช้มาตรการภาษีทุติยภูมิต่อจีน แม้จีนจะซื้อน้ำมันจากรัสเซียมากกว่า โดยให้เหตุผลว่า อินเดียเพิ่งเพิ่มการนำเข้าอย่างรวดเร็วหลังการรุกรานยูเครนของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ในปี 2022 ขณะที่จีนเพิ่มการนำเข้าจากรัสเซียเพียงเล็กน้อย จาก 13% ของการนำเข้าก่อนปี 2022 มาอยู่ที่ 16% หลังสงคราม ซึ่งสะท้อนถึงความหลากหลายของแหล่งพลังงานของจีนมากกว่าของอินเดีย
เมื่อเจอข้อกล่าวหาดังกล่าว รัฐบาลอินเดียได้ออกมาตอบโต้ทันที โดยยืนยันสิทธิในการเลือกซื้อน้ำมันจากแหล่งที่ราคาถูกที่สุด และระบุว่าการขู่ขึ้นภาษีของสหรัฐฯ “ไม่สมเหตุสมผล” ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี เพิ่งพูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีปูตินเมื่อวันจันทร์ และยังคงเรียกเขาว่า “มิตร” สะท้อนถึงความตั้งใจของนิวเดลีที่จะรักษาความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับรัสเซีย แม้ต้องเผชิญแรงกดดันจากชาติตะวันตกก็ตาม