ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศที่ชวนให้ตั้งคำถาม โดยการเลือกปฏิบัติอย่างแตกต่างต่อสามประเทศหลักที่มีบทบาทสำคัญในสงครามรัสเซีย–ยูเครน รัสเซียในฐานะคู่ขัดแย้งกลับได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและสมเกียรติที่กรุงวอชิงตัน จีนซึ่งเป็นผู้ซื้อน้ำมันรัสเซียรายใหญ่ที่สุดกลับได้รับการผ่อนปรนทางการค้าและเทคโนโลยี ขณะที่อินเดียซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกลับถูกลงโทษด้วยภาษีสูงและถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้ฉวยโอกาส” ซื้อน้ำมันรัสเซียไปขายต่อเอากำไร
การเดินหมากลักษณะนี้สร้างความสงสัยต่อหลายฝ่ายว่า ทรัมป์กำลังดำเนินนโยบายต่างประเทศบนหลักการใดกันแน่ หากเป้าหมายคือการกดดันรัสเซียให้ยุติสงครามในยูเครน เหตุใดเขาจึงปูพรมแดงต้อนรับปูติน? และหากการนำเข้าน้ำมันรัสเซียคือสิ่งต้องห้าม เหตุใดปักกิ่งจึงรอดพ้นจากมาตรการลงโทษ ขณะที่อินเดียกลับตกเป็นเป้าหลักของสหรัฐฯ
สิ่งที่ชัดเจนคือ นโยบายเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนถึงความพยายามร่วมมือระดับนานาชาติเพื่อหยุดยั้งรายได้สงครามของมอสโก หากแต่สะท้อนถึงการคำนวณเชิงผลประโยชน์เฉพาะหน้าและเกมทางการเมืองที่ซับซ้อน ซึ่งผูกพันทั้งเศรษฐกิจ การเลือกตั้งภายใน และความสัมพันธ์เชิงอำนาจในเวทีโลก
สัปดาห์ที่ผ่านมา วลาดิเมียร์ ปูติน เดินทางเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการครั้งแรกในรอบทศวรรษ ท่ามกลางบรรยากาศการต้อนรับที่หรูหราและอบอุ่นเกินคาด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงขั้นนั่งลิมูซีนประธานาธิบดีออกไปต้อนรับด้วยตนเอง ก่อนพาเข้าสู่การประชุมสุดยอดที่กรุงวอชิงตัน แม้ผลลัพธ์จะไม่บรรลุเป้าหมายสำคัญที่สหรัฐฯ ประกาศไว้ล่วงหน้าอย่างการหยุดยิงในยูเครน แต่ทรัมป์กลับยืนยันว่า การพบปะครั้งนี้ถือเป็น “ผลลัพธ์ที่สร้างสรรค์”
ปูตินใช้เวทีแถลงข่าวร่วมย้ำว่า หากต้องการหาทางออกที่ยั่งยืนต่อวิกฤติยูเครน จะต้องจัดการกับ “รากเหง้าของวิกฤติ” และต้องคำนึงถึง “ความกังวลอันชอบธรรมของรัสเซียทั้งหมด” เขาปฏิเสธข้อเสนอหยุดยิงระยะสั้นที่ชาติพันธมิตรตะวันตกผลักดัน โดยคิริล ดมิทรีเยฟ ผู้แทนเจรจาของเครมลินถึงกับกล่าวว่านี่คือ “วันสำคัญทางการทูต” ที่มอสโกจะใช้ต่อยอดอิทธิพลในเวทีโลก
ภายใต้ท่าทีที่อ่อนลงนี้ นักวิเคราะห์อย่าง แมตต์ เกอร์ทเคน จาก BCA Research มองว่า ทรัมป์กำลัง “เพิ่มอำนาจต่อรองของตัวเอง … โดยกดดันอินเดีย และรัสเซียผ่านอินเดีย” โดยเดินเกมเอาใจรัสเซียต่อหน้าเพื่อผลประโยชน์ทางการทูต แต่บีบให้อินเดียหยุดซื้อน้ำมันรัสเซียเพื่อทำให้รัสเซียรู้สึกกดดันทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันยังใช้แรงกดดันต่ออินเดียเป็นเครื่องมือเจรจาข้อตกลงการค้า หากแผนนี้สำเร็จ ทรัมป์จะได้ทั้งดีลทางเศรษฐกิจและการหยุดยิงเชิงสัญลักษณ์จากรัสเซีย
แม้รัฐบาลทรัมป์จะประกาศอย่างเป็นทางการว่ามาตรการบีบประเทศคู่ค้าไม่ให้นำเข้าน้ำมันรัสเซีย มีเป้าหมายเพื่อสกัดรายได้ของมอสโกในการทำสงครามยูเครน แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิรัฐศาสตร์กลับมองว่า วาระที่แท้จริงนั้นเป็นเรื่องการเมืองภายในและผลประโยชน์ทางการค้า ดรูว์ ทอมป์สัน นักวิจัยอาวุโสที่ RSIS ระบุว่า “เป้าหมายสูงสุดของรัฐบาลทรัมป์คือการรีดเอาสัมปทานจากประเทศต่าง ๆ เพื่อหาความชอบธรรมในการเก็บภาษีการค้า และใช้รายได้นั้นไปชดเชยการลดภาษีเงินได้ของคนอเมริกัน” พร้อมเสริมว่า มันไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักการด้านนโยบายต่างประเทศ แต่เป็นการใช้การเมืองเชิงอำนาจเพื่อหาข้อได้เปรียบโดยตรง
ท้ายที่สุด ภาพที่เห็นจึงเป็นการที่สหรัฐฯ เลือกใช้ “ไม้อ่อน” ต่อหน้ารัสเซียเพื่อให้ได้ดีลสันติภาพ และใช้ “ไม้แข็ง” ต่ออินเดียเพื่อกดดันให้มีทั้งการหยุดสงครามและดีลการค้ากับอินเดียที่เป็นบวกต่อสหรัฐฯ การประชุมที่กรุงวอชิงตันระหว่างสองผู้นำในช่วงสัปดาห์ทีผ่่านมาจึงไม่ได้เพียงเป็นการถกประเด็นสันติภาพในยูเครน หากแต่เป็นการวางหมากเพื่อเก็บคะแนนการเมืองทั้งในเวทีโลกและภายในประเทศ โดยผลลัพธ์เหล่านี้อาจช่วยเพิ่มโอกาสให้พรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งกลางเทอมที่กำลังจะมาถึง และต่อยอดไปถึงเส้นทางรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพที่ทรัมป์ปรารถนา
นอกจากท่าทีของสหรัฐฯ ต่อรัสเซียแล้ว อีกประเด็นที่หลายฝ่ายจับตามองคือความย้อนแย้งในการปฏิบัติของสหรัฐฯ ต่ออินเดียและจีน เพราะภายใต้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ จีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรัสเซียรายใหญ่ที่สุดของโลกกลับได้รับการผ่อนปรนอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่ปริมาณการนำเข้าของจีนสูงกว่าอินเดียมาโดยตลอด ขณะที่อินเดียกลับถูกกดดันอย่างหนักด้วยมาตรการภาษีและข้อจำกัดทางการค้า ทั้งที่ถือเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ และยังแสดงท่าทีพร้อมจะเจรจาขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลจากทางการจีนระบุว่า ในปี 2024 จีนซื้อน้ำมันจากรัสเซียมากถึง 109 ล้านตัน คิดเป็นเกือบ 20% ของการนำเข้าพลังงานทั้งหมดของประเทศ มากกว่าอินเดียซึ่งอยู่ที่ 88 ล้านตัน นอกจากนี้ ในครึ่งแรกของปี 2025 ข้อมูลจากสำนักงานพลังงานสหรัฐฯ ยังระบุว่า 46% ของการส่งออกน้ำมันรัสเซียถูกส่งไปยังจีน ขณะที่อินเดียมีสัดส่วนอยู่ที่เพียง 36% แต่กลับถูกเพ่งเล็งและเจอมาตรการเข้มงวดมากกว่า
ในกรณีนี้ ทรัมป์เองก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า เขายังไม่คิดจะเก็บภาษีจีนจากการซื้อน้ำมันรัสเซีย โดยกล่าวเพียงว่า “อาจพิจารณาในอีกสองถึงสามสัปดาห์” คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นชัดว่า สหรัฐฯ ลังเลและไม่ต้องการที่จะยั่วยุจีนโดยตรง
เบื้องหลังท่าทีดังกล่าว มาจากทั้งเหตุผลทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ จีนครองการผลิตและการแปรรูปแร่หายาก 17 ชนิด ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญต่ออุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ตั้งแต่เซมิคอนดักเตอร์ แบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงเทคโนโลยีทางการทหาร หากสหรัฐฯ เปิดศึกทางเศรษฐกิจกับจีนเต็มรูปแบบ ผลกระทบย่อมย้อนกลับมาที่ห่วงโซ่อุปทานของตนเอง อีกทั้งการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนก็จะไปกระทบผู้บริโภคอเมริกันโดยตรง โดยเฉพาะช่วงปลายปีที่สินค้าจากจีนทะลักเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ
ด้านการเมืองเองก็มีน้ำหนักไม่น้อย เพราะทรัมป์ยังต้องการเปิดโต๊ะเจรจากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เพื่อผลักดันข้อตกลงการค้าระยะยาว สตีเฟน โอลสัน นักวิจัยจากสถาบัน ISEAS–Yusof Ishak อธิบายว่า การไม่เลือกใช้ท่าทีแข็งกร้าวกับจีนเป็นวิธีรักษาช่องทางการเจรจา หากสหรัฐฯ กดดันมากเกินไป ความพยายามบรรลุข้อตกลงก็อาจล้มเหลวตั้งแต่ต้น ขณะเดียวกัน การหันไปกดดันอินเดียมากกว่าจีนก็อาจถูกตีความได้ว่าเป็น “สัญญาณเตือน” ที่ส่งตรงถึงมอสโก ว่าสหรัฐฯ ยังมีไพ่ในมือที่พร้อมงัดออกมาใช้หากรัสเซียไม่ยอมอ่อนข้อ
ท่าทีประนีประนอมของสหรัฐฯ ต่อจีนเห็นได้ชัดจากข้อตกลงเมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงชะลอการจัดเก็บภาษีในอัตราสูง และผ่อนคลายมาตรการลงโทษบางส่วน เพื่อเปิดโอกาสให้การเจรจาทางการค้าเดินหน้าต่อไป ข้อตกลงนี้ยังสะท้อนให้เห็นอำนาจต่อรองของจีนในฐานะผู้ผูกขาดตลาดแร่หายาก ซึ่งถูกใช้เป็นเงื่อนไขสำคัญบนโต๊ะเจรจา
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ก็ออกมาอธิบายเหตุผลต่อท่าทีดังกล่าว โดย สก็อต เบสเซนท์ รัฐมนตรีคลัง มองว่าการนำเข้าน้ำมันรัสเซียของจีน “ไม่ร้ายแรงเท่า” เพราะจีนซื้อน้ำมันจากรัสเซียต่อเนื่องมานานตั้งแต่ก่อนการรุกรานยูเครน ต่างจากอินเดียที่เพิ่งหันมาซื้อจำนวนมากเพื่อหวังกำไร ด้าน เจ.ดี. แวนซ์ รองประธานาธิบดี เสริมว่าความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ กับจีน “ซับซ้อนกว่ามาก” เพราะครอบคลุมหลากหลายประเด็น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องพลังงานหรือรัสเซีย ขณะที่มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ เตือนว่าหากสหรัฐฯ เดินหน้าคว่ำบาตรจีนจริง ราคาพลังงานโลกอาจพุ่งทะยาน เพราะจีนมีศักยภาพในการกลั่นน้ำมันรัสเซียแล้วส่งออกต่อไปยังตลาดโลก
ด้านจีนเองก็ยืนยันจุดยืนอย่างแข็งกร้าว โดยสถานทูตจีนในวอชิงตันออกแถลงว่า การค้ากับรัสเซียเป็นเพียง “ความร่วมมือปกติภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ” และไม่ใช่เรื่องที่สหรัฐฯ จะเข้ามาแทรกแซงได้ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศยังเห็นพ้องที่จะขยายเวลาการพักภาษีออกไปอีก 90 วัน โดยสหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนลงเหลือ 30% ส่วนจีนก็ตอบโต้ด้วยการลดภาษีสินค้าสหรัฐฯ เหลือ 10% พร้อมกลับมาส่งออกแร่หายากบางชนิดอีกครั้ง
“ความสัมพันธ์กับจีนยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน” ไมเคิล คูเกิลแมน นักวิเคราะห์การเมืองเอเชีย กล่าวสรุป “บางครั้งรัฐบาลทรัมป์ก็ดูเหมือนต้องการแข่งกับปักกิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่บางครั้งก็แสดงท่าทีพร้อมหาทางออกร่วมกัน” สะท้อนถึงเกมการทูตที่ทั้งซับซ้อนและเปราะบาง ซึ่งช่วยอธิบายได้ว่าทำไมสหรัฐฯ จึงยังไม่กล้าใช้มาตรการภาษีลงโทษจีนในเวลานี้
ในทางตรงกันข้าม แม้อินเดียจะเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่เข้าร่วมโต๊ะเจรจากับรัฐบาลทรัมป์ แต่จนถึงขณะนี้ก็อินเดียก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้บรรลุข้อตกลงการค้าหรือพลังงานใด ๆ กับสหรัฐฯ ในทางตรงกันข้าม อินเดียต้องเผชิญกับมาตรการกดดันที่หนักขึ้นเรื่อย ๆ ล่าสุดคือภาษีทดแทน 25% หรือ “ค่าปรับ” สำหรับการซื้อน้ำมันรัสเซีย ที่มีกำหนดจะมีผลบังคับใช้ภายในเดือนนี้ แม้อินเดียวจะนำเข้าน้ำมันรัสเซียในอัตราที่ต่ำกว่าจีน
การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาดพลังงานอินเดียเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน นับตั้งแต่ปี 2022 ที่รัสเซียถูกตะวันตกคว่ำบาตรหลังการรุกรานยูเครน การนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียของอินเดียพุ่งจากไม่ถึง 1% ของการนำเข้าพลังงานทั้งหมดก่อนสงคราม มาอยู่ที่กว่า 42% ในปัจจุบัน
ข้อมูลสำนักงานพลังงานสหรัฐฯ ระบุว่า อินเดียนำเข้าน้ำมันรัสเซียเฉลี่ย 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวันในครึ่งแรกของปี 2025 เพิ่มขึ้นจากเพียง 50,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2020 ตัวเลขนี้ทำให้อินเดียกลายเป็นผู้ซื้อน้ำมันรัสเซียรายใหญ่อันดับสองของโลก รองจากจีนซึ่งอยู่ที่ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่ต่างจากจีน อินเดียกลับเป็นฝ่ายที่ถูกสหรัฐฯ จัดเก็บภาษีทดแทนโดยตรง
ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีอีก 25% ต่อสินค้านำเข้าจากอินเดีย โดยอ้างว่า อินเดีย “กอบโกยผลประโยชน์” จากการซื้อน้ำมันรัสเซียราคาถูกแล้วนำไปแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงที่มีมูลค่าเพิ่มสูง สก็อต เบสเซนท์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า อินเดียได้ผลประโยชน์มหาศาลกว่า 16,000 ล้านดอลลาร์ และเตือนว่าอาจมีการขึ้นภาษีเพิ่มเติม หากอินเดียยังไม่เปลี่ยนท่าที ขณะที่ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาการค้าทำเนียบขาว ถึงขั้นประณามอินเดียว่าเป็น “ศูนย์กลางชำระบัญชีระดับโลก” ของน้ำมันรัสเซีย และช่วยส่งดอลลาร์เข้าสู่สงครามของมอสโกผ่านการรีไฟแนนซ์พลังงาน
ด้านอินเดียไม่รอช้าที่จะโต้กลับ โดยระบุว่าสหรัฐฯ กำลังเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม และย้ำว่าในช่วงแรก ๆ ของสงคราม สหรัฐฯ เองเคยขอให้อินเดียช่วยซื้อน้ำมันรัสเซียเพื่อป้องกันไม่ให้ตลาดโลกปั่นป่วนเกินไป อีกทั้งสหรัฐฯ เองก็ยังคงมีการค้ากับรัสเซียในสินค้าที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เช่น ยูเรเนียมเฮกซะฟลูออไรด์สำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ พาลาเดียมสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และปุ๋ย-เคมีภัณฑ์
ข้อมูลทางการค้าชี้ว่า มูลค่าการค้ารวมระหว่างสหรัฐฯ-รัสเซียในปี 2024 ยังคงอยู่ที่ 5.2 พันล้านดอลลาร์ แม้จะลดลงจากเกือบ 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2021 แต่ก็ไม่เป็นศูนย์ ขณะที่การค้ารวมอินเดีย-รัสเซียในปีงบประมาณสิ้นสุดมีนาคม 2025 พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6.87 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่ามูลค่าการค้าของรัสเซียกับสหภาพยุโรปในปีเดียวกัน (ราว 7.81 หมื่นล้านดอลลาร์)
นอกเหนือจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ นักวิเคราะห์จำนวนไม่น้อยเห็นว่าความสัมพันธ์เชิงส่วนบุคคลระหว่างผู้นำก็มีบทบาท ไมเคิล คูเกิลแมน ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียใต้แห่งศูนย์วิลสัน วิเคราะห์ว่า ทรัมป์รู้สึก “คับข้องใจ” ที่นเรนทรา โมดี ไม่ยอมสนับสนุนให้สหรัฐฯ อ้างเครดิตจากข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอินเดีย-ปากีสถาน อีกทั้งอินเดียยังไม่ยอมเปิดตลาดมากขึ้นต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ เช่น ถั่วเหลืองและข้าวโพด ซึ่งเป็นสินค้าหลักของฐานเสียงการเมืองในสหรัฐฯ
เควิน เฉิน นักวิจัยจากสถาบัน RSIS ในสิงคโปร์ จึงชี้ว่า กลยุทธ์ของทรัมป์ที่มีต่ออินเดียไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักการของนโยบายต่างประเทศในเชิงระบบ แต่ตั้งอยู่บน “การเมืองเชิงอำนาจและการรีดข้อแลกเปลี่ยน” ซึ่งอาจทำลายความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวมาตลอดทศวรรษที่ผ่านมา