พลโทหญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชาแถลงเช้านี้ (11 สิงหาคม 68) เรียกร้องให้สาธารณชนและประชาคมระหว่างประเทศ ตรวจสอบพลโทบุญสิน พาดกลาง ผู้บัญชาการกองทัพภาคที่ 2 ของไทยว่าละเมิดข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชาหรือไม่ หลังจากเมื่อวานนี้ แม่ทัพภาค 2 ได้ประกาศว่าจะยึดคืนปราสาทตาควายและมีแผนจะปิดตายปราสาทตาเมือนธม
แถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมระบุว่า การกระทำของพลโทบุญสินถือเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่บรรลุในการประชุมพิเศษเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา รวมถึงจิตวิญญาณของการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) นัดพิเศษที่จัดขึ้นในประเทศมาเลเซียเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 เนื่องจากในระหว่างการประชุม GBC นัดพิเศษ ทั้งกัมพูชาและไทยได้ตกลงร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อที่ 2 ที่ระบุว่า ทั้งสองฝ่ายต้องไม่เคลื่อนย้ายกองกำลังทหารหรือลาดตระเวนออกนอกตำแหน่งที่มีอยู่เดิม
อย่างไรก็ตาม ในแถลงการณ์เช้านี้ เน้นตอบโต้ไปที่คำประกาศของแม่ทัพภาคที่ 2 และกระทรวงกลาโหมกัมพูชาหลีกเลี่ยงที่จะตอบโต้ในประเด็นตัวเลขทหารที่เสียชีวิต 3,000 นาย
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากที่เมื่อวานนี้ พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาหลังการสู้รบ โดยประเมินความสูญเสียของทหารฝ่ายกัมพูชา น่าจะเสียชีวิตราว 3,000 นายเพราะใช้กำลังในปฏิบัติการจำนวนมาก รู้สึกเห็นใจ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะทหารกัมพูชาต้องทำตามคำสั่งผู้นำ
พร้อมกันนี้ พลโทบุญสินยังแถลงถึงสถานการณ์บนปราสาทตาควายว่า มีฐานทหารกัมพูชาอยู่ใกล้มากและวางกำลังหน้าแนว เป็นปราสาทเดียวที่ทหารไทยตรึงกำลังอยู่และยังเข้าไม่ได้ ที่ผ่านมาทหารได้ทดลองปฏิบัติไป 4 ครั้ง ยังเข้าไม่ได้ เขาเข้มแข็ง ประกอบกับมีทุ่นระเบิดวางไว้โดยรอบอย่างหนาแน่น แต่ท้ายที่สุดได้ยืนยันว่า “ปราสาทของเรา เราต้องเอากลับมาให้ได้”
นอกจากแถลงการณ์จากกระทรวงกลาโหมกัมพูชาที่มุ่งโจมตีพลโทบุญสิน พาดกลาง แล้วสื่อมวลชน รวมถึงนักวิชาการในกัมพูชายังออกมาเรียกร้องให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เร่งตรวจสอบและลงโทษแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย โดยเดอะพนมเปญโพสต์ ได้เผยแพร่บทความของนายยุก จันท์ ผู้อำนวยการศูนย์เอกสารกัมพูชา (DC-Cam) ระบุว่า
เขาสนับสนุนให้กัมพูชายื่นฟ้องนายทหารไทยที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เพื่อเรียกค่าเสียหายจากการรุกรานของไทย ซึ่งมีพลโทบุญสิน พาดกลาง เป็นผู้บัญชาการ โดยแนะว่า กัมพูชาไม่ควรงดเว้นจากการใช้ช่องทางทางกฎหมายและสันติในการแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสงครามเสมอ และจะต้องระบุชื่อของแม่ทัพภาคที่ 2 ให้เป็นผู้รับผิดชอบด้วย
นอกจากนี้เขายังอ้างด้วยว่าการกระทำของไทยเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ กัมพูชาไม่ควรกลัวที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรืออาชญากรรมอื่นๆ เมื่อมีข้อกังวลที่สมเหตุสมผล เนื่องจากผู้บัญชาการของไทยได้สั่งให้ปิดพรมแดนกับกัมพูชา สังหารทหารกัมพูชาที่ไม่มีอาวุธ รวมถึงทรมานนักโทษสงคราม