วันที่ 30 ก.ย. เวลา 15.03 น. นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ลุกขึ้นชี้แจงถึงนโยบายด้านการต่างประเทศโดยเฉพาะประเด็นความขัดแย้งระหว่างไทยกัมพูชา ว่า เรื่องต่างประเทศ เป็นผลประโยชน์ของชาติเพราะฉะนั้นความร่วมมือระหว่างพรรครัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้านมีความสำคัญเพราะต่างต้องการรักษาผลประโยชน์ของชาติและศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของประเทศ มองไปข้างหน้าตนก็อยากร่วมมือและมีโอกาสพูดคุยกับพรรคฝ่ายค้านเพราะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
นายสีหศักดิ์ กล่าวต่อว่า ปัญหาระหว่างไทยกัมพูชามีหลายมิติมาก ทั้งเรื่องของชายแดนความมั่นคง อาชญากรรมข้ามชาติเศรษฐกิจการทหารและยังโยงถึงเรื่องการเมืองภายในของแต่ละประเทศ ที่สำคัญคือเรื่องความรู้สึกของประชาชนทั้งสองประเทศว่าจะแก้ไขกันอย่างไรคือสิ่งที่เราต้องมานั่งคิดร่วมกัน จนมองว่าต้องทำให้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชากลับสู่ภาวะปกติ พยายามก้าวข้ามความขัดแย้งที่มีอยู่ให้ได้ซึ่งยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน ส่วนการเจรจาไปที่ไหนต้องทำอย่างแน่นอน
เพราะไทยรักสันติ แต่แน่นอนว่าเราไม่ยอมเรื่องของอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดน แต่บางครั้งประตูของการเจรจาอาจไม่เปิด เราต้องดูว่าเขาพร้อมเมื่อไหร่ แต่สิ่งสำคัญการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าต้องมียุทธศาสตร์ในมิติต่างๆ สิ่งแรกคือ ต้องมียุทธศาสตร์ในเรื่องข้อมูลข่าวสาร เพราะตรงนี้เป็นพื้นที่ที่กัมพูชาใช้เป็นประโยชน์อย่างมาก เขานำเสนอข้อมูลฝ่ายเดียวสร้างความได้เปรียบ นำประเด็นที่เป็นทวิภาคีไปสู่เวทีระหว่างประเทศ อย่างที่ผ่านมาในเวทีประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ หรือ UNGA
และยืนยันว่า เมื่อวานนี้ (29 ก.ย.) ที่มีสมาชิกท่านหนึ่ง กล่าวหาว่าตนไปทะเลาะกับกัมพูชาในเวที UNGA นั้น ตนไม่ได้ทะเลาะขอให้ดูบุคลิกของตนเพราะตนไม่ทะเลาะกับใคร แต่ตนมีหน้าที่ในฐานะผู้แทนของใครต้องปกป้องประเทศ และศักดิ์ศรีของไทย แต่ไม่ใช่ว่าตนจะปิดประตูเจรจาซึ่งหากเขาพร้อมเจรจาเมื่อไหร่เราก็พร้อม แต่ปัญหาคือ เขาไม่แสดงความจริงใจที่จะเจรจากับเรา ซึ่งประเด็นที่ต้องเจรจาคือเรื่องการเจรจาหยุดยิง การเก็บกู้ทุนระเบิดสังหารบุคคล การกวาดล้างอาชญากรรมข้ามชาติ และสุดท้ายนำอาวุธหนักออกจากพื้นที่ ทั้งหมดนี้เพื่อนำความสงบความปลอดภัยมาสู่ชายแดน
นายสีหศักดิ์ กล่าวต่อว่า สถานการณ์ในปัจจุบันเราเจอปัญหาที่สลับซับซ้อน เจอวิธีการของกัมพูชาที่กับไปกับมา แต่สิ่งสำคัญการต่างประเทศต้องเริ่มต้นภายในบ้านเรา ให้มีเอกภาพในการทำงานร่วมกัน เพราะฉะนั้นกระทรวงการต่างประเทศในช่วงที่ตนดูแลอยู่ จะเน้นเรื่องความเป็นเอกภาพกับฝ่ายทหาร ซึ่งตนเองได้พูดคุยกับกระทรวงกลาโหมทุกวัน ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะดูอ่อนแอในสายตาของอีกฝ่ายหนึ่ง และขณะนี้การทูตต้องสนับสนุนการทหาร แต่ต่อไปหากพื้นที่เปิด การทหารอาจต้องสนับสนุนการทูต
Advertisement