6 สิงหาคม 2568 คือวันครบรอบ 80 ปีของการทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาของสหรัฐฯ โจมตีจักรวรรดิญี่ปุ่นช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2488 ก่อนจะตามมาด้วยการทิ้งระเบิดใส่เมืองนางาซากิในอีก 3 วันถัดมา
ระเบิดที่ถูกทิ้งลงเมืองฮิโรชิมาเมื่อ 80 ปีก่อนเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนมากกว่า 14,000 คน ตามข้อมูลของเมืองฮิโรชิมา แต่มีการประเมินตัวเลขที่สูงกว่ามากโดยองค์กรเอกชนของญี่ปุ่นและสหรัฐฯ คือระหว่าง 90,000–166,000 คน ทั้งคนที่เสียชีวิตทันที และคนที่เสียชีวิตจากผลที่ตามมานับไปถึงปลายปี 2488 และแม้ไม่สูญเสียชีวิต คนที่ประสบกับเหตุการณ์นี้ก็ต้องพบกับประสบการณ์เลวร้ายเกินจินตนาการ
เช่นเดียวกับทุกปี ผู้คนมากมายมารวมตัวกันที่สวนอนุสรณ์สันติภาพของเมืองฮิโรชิมาเช้านี้ เพื่ออาลัยให้กับเหตุการณ์ทำลายร้างโดยฝีมือมนุษย์ครั้งนี้ ในปีนี้ผู้คนจาก 120 ประเทศมารวมตัวกัน รวมไปถึงนายกเทศมนตรีเมืองฮิโรชิมา คาซูมิ มัตซุย ที่เตือนโดยตรงว่าสงครามที่ยูเครนและตะวันออกกลางอาจทำให้เกิดการ “ยอมรับการใช้อาวุธนิวเคลียร์” ได้
“พัฒนาการเหล่านี้เป็นการเพิกเฉยอย่างโจ่งแจ้งต่อบทเรียนที่ประชาคมระหว่างประเทศควรได้เรียนรู้จากโศกนาฏกรรมในอดีต”
Spotlight อยากพาย้อนอ่านประสบการณ์ของ ซาดาโอะ ฮิราโนะ หนึ่งในผู้รอดดชีวิตจากการทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิมา สัมภาษณ์โดยมาซายะ เนโมโต และเผยแพร่กับ Asian Studies ในปี 2015 เพื่อให้พวกเราได้มองเห็นผลกระทบจากสงครามได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ในวันนั้นขณะที่ฟ้าสดใส ระเบิดปรมาณูถูกทิ้งลงมาในกลางเมือง ทำลายเมืองในรัศมี 2 กิโลเมตรจนราบเป็นหน้ากลอง ก้อนความร้อนฟาดผ่านทุกอณูอากาศในรัศมี 3 กิโลเมตร และทุกคนในระยะ 1 กิโลเมตรได้รับบาดเจ็บถึงระดับอวัยวะภายใน
ขณะนั้น ฮิราโนะเป็นเด็กชายวัย 12 ปี เรียนอยู่ชั้นประถม แต่เพราะแรงงานขาดแคลน หน้าที่หลักของเขาในตอนนั้นคือการทำงานในฟาร์ม หรือรื้อบ้านเพื่อสร้างแนวป้องกันไฟ เพื่อรับมือการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ เช้าวันระเบิดลง ฮิราโนะกับเพื่อน ๆ เข้าร่วมพิธีรวมตัวตอนเช้าห่างจากจุดระเบิดลงราว 2 กิโลเมตร
“ราว 8.15 น. เป็นเวลาประชุมของเรา ทันใดนั้น แสงสีส้มเข้มก็สาดส่องเข้ามา สว่างยิ่งกว่าพระอาทิตย์หน้าร้อนมาก เราหลบไม่ได้เลย เพราะไม่มีร่มอยู่เลยในสนามโรงเรียน เราถูกเผาตรง ๆ เลย ที่จริง ผมก็ไม่รู้สึกว่า ‘ถูกเผา’ หรอกนะตอนนั้น เพราะผมไม่รู้สึกอะไรเลย จากนั้นเสียงระเบิดก็ดังขึ้น แล้วเราก็ล้มลง ทุกอย่างสับสนวุ่นวายไปหมด ความมืดปกคลุมเราอยู่พักหนึ่ง ผมคอแห้งผาก หายใจก็ลำบากเพราะมีฝุ่นเต็มไปหมด เพื่อนร่วมชั้นผมตะโกนว่า ‘เจ็บ’ ไม่ก็ ‘แม่’ มีคนหนึ่งมองหาหมวกแล้วก็ตะโกนว่า ‘หมวกหาย’ ยังไงก็เถอะ ทุกคนวิ่งวุ่นอลม่านไปหมด”
พอฮิราโนะได้มองสำรวจร่างกายตัวเองและเพื่อนร่วมชั้น เขาก็เห็นว่าร่างกายพวกเขาถูกเผาอย่างเลวร้าย เสื้อผ้าถูกเผาขาดรุ่ยติดผิวหนัง ดูราวกับสัตว์ประหลาด พวกเขารีบหนีไปหุบเขาใกล้ ๆ เพราะคิดว่าสหรัฐฯ อาจโจมตีอีกระลอก ไปแอบอยู่ในถ้ำเล็ก ๆ คนมากมายโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ชายคนหนึ่งถูกเสาไม้แทงเข้าที่ท้อง แม้นายทหารหลายคนพยายามดึงก็เอาไม่ออก
หลังจากนั้นระหว่างเดินทางกลับบ้าน พวกเขาเจอถังน้ำ 3 ถังและดื่มจนหมด “เหมือนเราได้รับการชุบชีวิตเลย” ฮิราโนะเล่า พอถึงบ้าน แม่ของเด็กชายเห็นว่าเขากำบางสิ่งอยู่ไม่ยอมปล่อย จึงแงะนิ้วมือของเขาให้คลายออกทีละนิ้ว จนเห็นว่าคือผิวหนังของเขานั่นเอง ผิวบนแขนขวาที่ลอกออกและลูกชายแกะและกำเอาไว้ แม่ตัดเศษหนังที่ลอกออกตามตัวของเขา แล้วล้างตัวด้วยสาเก ให้เขาดื่มอีกนิดหน่อย ฮิราโนะสลบไป
เขานอนอยู่อย่างนั้นราว 20 วัน โอดครวญด้วยความเจ็บปวดจากหน้า คอ หลัง แขน และขาที่ไหม้อย่างหนัก แม่เขาใช้ไอโอดีนทาบาดแผล เมื่อหมดลงก็หันไปหาน้ำมัน น้ำผัก อย่างน้ำแตงกวา หรือแม้แต่เถ้ากระดูกคนตาย เพื่อบรรเทาความปวดร้อนของลูกชาย ฮิราโนะลุกยืนได้อีกครั้งเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามอย่างเต็มรูปแบบ
แต่แม้สงครามจะจบลง บาดแผลที่มันฝากเอาไว้ยังคงเกาะแน่นสร้างความทรมานไม่ไปไหน ฮิราโนะบาดเจ็บทั้งร่างกาย และจิตใจอย่างสาหัส และไม่เคยฟื้นคืนอย่างเต็มที่สักวัน
“ไม่มีใครเข้าใจความเจ็บปวดนี้ได้ ถ้าไม่พบเจอด้วยตัวเอง แผลไฟไหม้ยังผิดรูปผิดร่างอยู่เลย ตอนผมขยับแขนขวา ผมจะเจ็บ อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ อยากให้ลองมาอยู่ในร่างผมดูเลยถ้าทำได้ ถ้าได้ หน้าคุณคงจะเหยเกไปหมดเพราะความเจ็บปวด ผมทนความเจ็บนี้มามากกว่า 60 ปีแล้ว”
จนอายุ 82 ฮิราโนะก็ยังไม่สามารถกลับไปขยับแขนได้อย่างปกติ เพราะแผลเป็นคีลอยด์เกาะเต็มแผลที่เคยไหม้พอกตัวหน้าจนดูผิดรูป
ผู้รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณูรายอื่น ๆ ก็ปรากฏบาดแผลภายนอกไม่ต่างฮิราโนะ และมักเป็นที่รังเกียจ หรือเป็นคนที่คนในสังคมหลีกเลี่ยง เพราะรูปลักษณ์ที่ต่าง บางครั้งทำให้คนคิดว่าเป็นโรคติดต่อ ฮิราโนะบอกว่าคนเลี่ยงเขาเพราะเขาดูสกปรก ลูกค้ามักจะเลี่ยงคุยกับนายธนาคารฮิราโนะเพราะหน้าของเขา “ประหลาด” ทำให้เขาต้องคอยบอกใครต่อใครว่าเขาคือ “ผู้รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณู”
เพื่อให้คนอื่นเข้าใจ เพื่ออธิบายความต่างของตนเอง ฮิราโนะต้องพูดถึงประสบการณ์เลวร้ายซ้ำ “ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ไม่หยุดจ้องผมเลย ซึ่งผมรับไม่ได้” ความคิดของเขาคอยแต่จะวนเวียนนึกถึงชีวิตก่อนแสงสีส้มสว่างฟาดในเช้าวันนั้น และชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรหากไม่มีปรมาณูลิตเติลบอย
ผลที่เกิดขึ้นโดยทันทีของระเบิดปรมาณู ถ้าไม่ฆ่าคนก็ฆ่าเซลล์ในร่างกาย และทำลายเนื้อเยื่อโดยตรง และยังทำให้เกิดผลระยะยาวอย่างมะเร็ง ด้วยการเร่งการกลายพันธุ์ใน DNA ของเซลล์ที่มีชีวิต ซึ่งอาจใช้เวลาหลายปีกว่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากต้องใช้เวลาสะสมการกลายพันธุ์ ซึ่งสำรวจได้ราว 10 ปีหลังเหตุการณ์ทิ้งระเบิด
โรคร้ายที่พบได้บ่อยที่สุดในกลุ่มผู้รอดชีวิตคือลูคีเมีย หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งเกิดเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 2 ปีหลังการทิ้งระเบิด และพุ่งสูงสุด 6 ปีหลังเหตุการณ์ มูลนิธิวิจัยผลกระทบจากรังสีประเมินความเสี่ยงของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อระเบิดที่อาจเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวอยู่ที่ร้อยละ 46
รายงานฉบับหนึ่งปี 1994 ชี้ว่า เด็กที่ได้รับกัมมันตรังสีขณะอยู่ในท้องมีขนาดหัวเล็กกว่าค่าเฉลี่ย และมักมีอาการป่วยทางจิตใจ รวมถึงการเจริญเติบโตไม่ปกติ
นอกจากร่างกายที่ป่วยไข้ สงครามโลกครั้งที่ 2 สร้างบาดแผลทางจิตใจให้กับคนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะผลทางตรงจากการอยู่ในภาวะสงคราม ผลทางอ้อมที่ได้รับจากผลที่ตามมา ทั้งจากการสูญเสียคนรัก ทรัพย์สิน การต้องผลัดถิ่น ความอดอยาก หิวโหย ถูกบังคับให้รับหน้าที่เกินวัย การประจักษ์กับความโหดร้ายของการเข่นฆ่า ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำ หรือถูกกระทำ
แม้แต่ลูกหลานของพวกเขา ที่อาจเกิดไม่ทันช่วงสงครามดำเนินอยู่ (โดยเฉพาะเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว) ก็มีหลักฐานหลายชิ้น ทั้งผ่าน บทความ วรรณกรรม หรือภาพยนต์ ที่แสดงให้เห็นว่าได้รับบาดแผลที่ส่งต่อมาจากสงครามเช่นกัน รวมถึงยังเป็น “แผลของชาติ” ที่นำมาสู่ความขัดแย้งในปัจจุบัน เป็นการหั่นห้ำกันไร้ที่สิ้นสุด ส่งต่อบาดแผลและความเจ็บปวดถึงคนรุ่นถัดไป ถัดไป
เราซึ่งอยู่ในสังคมที่ผ่านบทเรียนสงครามมาหลายครั้ง จึงควรตระหนักถึงความร้ายกาจของสงคราม ที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีกแม้สักครั้ง