นโยบายอพยพของสหรัฐฯ กำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมการยื่นขอวีซ่า H-1B จากเดิมเพียง 5,000-10,000 ดอลลาร์ สู่ระดับสูงถึง 100,000 ดอลลาร์ต่อคำร้อง วีซ่าประเภทนี้เป็นกลไกสำคัญที่บริษัทอเมริกันใช้ดึงดูดแรงงานทักษะสูง โดยเฉพาะจากอินเดียและจีน เข้ามาทำงานในสาขาที่ขาดแคลน เช่น เทคโนโลยี วิศวกรรม และการเงิน ปัจจุบันมีการออกใหม่ราว 85,000 ใบต่อปี การปรับขึ้นค่าธรรมเนียมมากกว่ายี่สิบเท่าครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็น “กำแพงราคา” ที่อาจบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน รัฐบาลกลับเปิดทางเลือกใหม่สำหรับผู้มีทุนหนา ด้วยการเปิดตัวโครงการ “Trump Gold Card” มอบสิทธิพำนักถาวรแก่ผู้พร้อมจ่าย 1 ล้านดอลลาร์ และเตรียมเสนอโครงการ “Platinum Card” มูลค่า 5 ล้านดอลลาร์ ที่ให้สิทธิพำนักได้ถึง 270 วันต่อปี โดยไม่ต้องเสียภาษีจากรายได้ที่เกิดนอกสหรัฐฯ การผสมผสานระหว่างการผลักภาระค่าใช้จ่าย H-1B ให้สูงเกินเอื้อม กับการเปิดขายสิทธิพำนักแก่ผู้มั่งคั่งเช่นนี้ ทำให้หลายฝ่ายเห็นว่าสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนจากระบบคัดเลือกตามทักษะและความสามารถ ไปสู่ระบบที่ “เงิน” เป็นปัจจัยชี้ขาด
แม้ภายหลังทำเนียบขาวจะรีบออกแถลงชี้แจงว่า ค่าธรรมเนียมใหม่นี้จะกระทบเฉพาะผู้ยื่นขอวีซ่าใหม่ ไม่ครอบคลุมผู้ที่ถืออยู่แล้วหรือกำลังต่ออายุ อีกทั้งผู้ที่ได้รับโควตา H-1B ประจำปีงบประมาณ 2568 (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม) ก็ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม และยังย้ำว่านี่ไม่ใช่ค่าธรรมเนียมรายปีอย่างที่บางสื่อรายงานผิดไป แต่การปรับขึ้นค่าธรรมเนียมในระดับนี้ก็ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเทคนิค หากสะท้อนถึงการนิยามใหม่ว่า ใครกันที่ยังมีสิทธิอยู่ในสหรัฐฯ และใครจะถูกกันออกไป ในยุคที่ “ทุนทรัพย์” กำลังถูกยกให้เหนือกว่า “ทักษะ”
มาตรการใหม่ส่งผลสะเทือนทันทีทั้งในตลาดทุนและภาคธุรกิจ หุ้นของ Accenture และ Cognizant ซึ่งมีพนักงาน H-1B จำนวนมาก ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในวันศุกร์หลังการประกาศ ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีและสถาบันการเงินขนาดใหญ่ต่างเร่งหามาตรการรับมือ
หลังคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ Amazon ซึ่งมีพนักงานถือ H-1B มากกว่า 14,000 คน ณ กลางปี 2568 ได้สั่งให้ผู้ถือ H-1B และ H-4 อยู่ภายในประเทศ ส่วนผู้ที่อยู่นอกสหรัฐฯ ต้องรีบเดินทางกลับก่อนเวลา 00:01 น. ET ของวันที่ 21 กันยายน ขณะเดียวกัน JPMorgan Chase ส่งบันทึกภายในเตือนพนักงาน H-1B ให้งดเดินทางระหว่างประเทศ Goldman Sachs ก็ออกประกาศแจ้งเตือนตามคำแนะนำของ Fragomen บริษัทกฎหมายด้านการตรวจคนเข้าเมือง และ Microsoft เร่งกำชับพนักงานที่อยู่นอกสหรัฐฯ ให้รีบกลับเข้าประเทศโดยด่วน
ขณะเดียวกัน Ernst & Young LLP ส่งอีเมลแจ้งผู้ถือวีซ่าให้เดินทางกลับภายในวันเสาร์ พร้อมระบุว่า “แนวทางของเราคือหลีกเลี่ยงการเดินทางระหว่างประเทศหากเป็นไปได้ ไม่ว่าถือวีซ่าประเภทใด” และเตือนว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีข้อจำกัดใหม่เพิ่มเติม ขณะที่ Walmart ก็ออกคำแนะนำคล้ายกัน โดยระบุว่ากำลัง “ตีความการเปลี่ยนแปลงล่าสุดของนโยบายวีซ่า H-1B” และออกคำแนะนำด้วย “ความระมัดระวังสูงสุด” พร้อมเขียนว่า “จนกว่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์และเจตนาของคำสั่งบริหาร” พนักงานที่ถือวีซ่าควรหลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกสหรัฐฯ
ปัจจุบัน บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เช่น Microsoft, Meta, Apple และ Google ต่างมีพนักงานที่ถือวีซ่า H-1B มากกว่า 4,000 คนในบริษัท ทั้งหมดติดอันดับ 10 องค์กรที่ได้รับ H-1B มากที่สุดในปีงบประมาณ 2568 โดยในรายชื่อ 100 บริษัทสหรัฐฯ ที่มีพนักงานถือวีซ่า H-1B มากที่สุด Amazon ครองอันดับหนึ่งที่ 14,365 ตามด้วยบริษัทเทคโนโลยีและการเงินรายใหญ่หลายแห่ง เช่น Tata Consultancy Services ที่ 5,505 คน, Microsoft ที่ 5,189 คน, Meta ที่ 5,123 คน, Apple ที่ 4,202 คน และ Google ที่ 4,181 คน สะท้อนว่า มาตรการใหม่นี้ส่งผลโดยตรงกับบริษัทที่เป็นเสาหลักของเศรษฐกิจดิจิทัลและตลาดทุนอเมริกัน
ผลกระทบยังลามออกไปนอกประเทศ กระทรวงการต่างประเทศอินเดียออกแถลงการณ์แสดงความกังวลว่า มาตรการนี้อาจสร้าง “ผลกระทบด้านมนุษยธรรม” ต่อครอบครัวแรงงานอินเดีย และทำลายความร่วมมือด้านนวัตกรรมที่ทั้งสองประเทศได้ประโยชน์ร่วมกัน ขณะที่รัฐบาลเกาหลีใต้ก็ระบุว่ากำลังประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อบริษัทและแรงงานฝีมือของตนในสหรัฐฯ
อเล็กซิส ดูเฟรน ผู้ก่อตั้ง Archer Search Partners เตือนว่านี่เป็น “นโยบายที่ไร้เหตุผล” เพราะจะทำให้บริษัทอเมริกันเสียเปรียบอย่างมากบนเวทีโลก แม้บริษัทขนาดใหญ่บางแห่งอาจยังพอรับภาระค่าใช้จ่ายได้ แต่ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก รวมถึงแรงงานทักษะสูงรุ่นใหม่จะถูกกันออกไปทันที ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานแรงงานคุณภาพของสหรัฐฯ เสี่ยงสะดุดหยุดชะงัก และท้ายที่สุดจะกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีในระยะยาว ที่ต้องพึ่งพาแรงงานทักษะสูงจำนวนมากเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตและการแข่งขัน
แม้รัฐบาลทรัมป์จะคาดการณ์ว่ามาตรการนี้จะสร้างรายได้เข้าคลังมากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าผลเสียเชิงโครงสร้างอาจร้ายแรงกว่าประโยชน์ที่ได้ ไม่เพียงแต่บริษัทสหรัฐฯ และต่างชาติอาจเร่งย้ายสำนักงานไปยังประเทศที่มีระบบการอพยพที่ยืดหยุ่นกว่า เช่น แคนาดาหรือสิงคโปร์ หากยังรวมถึงแนวโน้มที่นักศึกษาต่างชาติ โดยเฉพาะจากอินเดียและจีน อาจเปลี่ยนเป้าหมายไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของประเทศอื่น เพราะเส้นทางเข้าสู่ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านวีซ่า H-1B กำลังถูกปิดกั้น
ด้านนักกฎหมายด้านการอพยพก็ออกมาแสดงความกังวลเช่นกัน เดวิด เลโอโพลด์ ชี้ว่าค่าธรรมเนียม 100,000 ดอลลาร์จะ “ฆ่าโครงการ H-1B” เพราะแทบไม่มีบริษัทใดเต็มใจจ่าย และหากยังคงบังคับใช้ต่อไป ก็จะเหลือเพียงสิทธิพิเศษสำหรับคนรวยไม่กี่รายเท่านั้น
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน นายจ้างยื่นคำร้องเพื่อขอวีซ่า H-1B ทุกปีในเดือนมีนาคม ก่อนเข้าสู่การจับสลากในเดือนเมษายน โดยมีโควตาปีละ 65,000 ใบ และเพิ่มอีก 20,000 ใบสำหรับผู้จบการศึกษาระดับปริญญาโทในสหรัฐ เฉพาะปี 2568 มีการยื่นคำร้องมากกว่า 470,000 ฉบับ และผู้ที่ได้รับอนุมัติสามารถเริ่มงานได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม
แม้หลายฝ่ายออกมาเตือนว่ามาตรการใหม่จะทำให้แรงงานต่างชาติที่มีทักษะสูงหายไปจากสหรัฐฯ แต่ในสายตาของฝ่ายบริหาร ผลลัพธ์ดังกล่าวกลับถูกมองว่าเป็น “ข้อดี” ไม่ใช่ข้อผิดพลาด ทำเนียบขาวย้ำว่า การพึ่งพาแรงงานต่างชาติที่มากเกินไปถือเป็น “ภัยคุกคามต่อความมั่นคง” ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม เพราะทำให้ค่าจ้างแรงงานถูกกดต่ำลง และทำให้แรงงานอเมริกันละทิ้งอาชีพในสาขา STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์) ซึ่งเป็นสาขาหลักของการสร้างขีดความสามารถการแข่งขันในอนาคต
เจ้าหน้าที่ระดับสูงยังกล่าวด้วยว่า รัฐบาลไม่ควรปล่อยให้บริษัทยักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยี ใช้ระบบ H-1B เป็นช่องทางดึงแรงงานราคาถูกจากต่างประเทศมาแทนแรงงานท้องถิ่น เพราะการกระทำดังกล่าวเท่ากับ “เอื้อประโยชน์ให้บรรษัท” แต่ “บั่นทอนชนชั้นกลางอเมริกัน” ที่เป็นฐานเสียงสำคัญของประธานาธิบดีทรัมป์
นอกจากนี้ แม้ประกาศยังเปิดทางให้มีการยกเว้นค่าธรรมเนียมเป็นกรณีๆ ไป หากเห็นว่าเป็นผลประโยชน์แห่งชาติ เจตนาหลักของรัฐบาลทรัมป์ยังชัดเจนว่า ต้องการผลักดันให้โครงการ H-1B ถูกใช้เฉพาะกับแรงงานที่มีค่าตอบแทนสูงและทักษะเฉพาะด้าน ขณะเดียวกัน ทรัมป์ยังเตรียมสั่งให้กระทรวงแรงงานทบทวนเกณฑ์การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำของโปรแกรม H-1B เพื่อปิดช่องไม่ให้บริษัทต่างๆ ใช้การออกใบอนุญาตทำงานนี้เป็นวิธีกดค่าแรงแรงงานอเมริกันลง
อย่างไรก็ตาม ในเชิงกฎหมาย มาตรการดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญแรงต้านในศาล เนื่องจากกฎหมายกลางกำหนดให้สามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมได้เพียงในระดับที่สะท้อน “ต้นทุนที่สมเหตุสมผล” เท่านั้น ปัจจุบันการยื่นขอวีซ่าทำงานส่วนใหญ่มีค่าใช้จ่ายไม่เกิน 5,000 ดอลลาร์ และแม้แต่กรณีซับซ้อนที่สุด เช่น วีซ่านักลงทุน ก็ยังไม่ถึง 10,000 ดอลลาร์ เบกกี ฟู วอน แทร็พ ทนายความด้านการอพยพจากรัฐเวอร์มอนต์ จึงเตือนว่าค่าธรรมเนียม 100,000 ดอลลาร์ที่ถูกเสนอมีความสุ่มเสี่ยงสูงที่จะถูกศาลตีตกว่า “เกินควร” อีกทั้งยังอาจถูกใช้เป็นกรณีศึกษาในอนาคตเพื่อท้าทายอำนาจฝ่ายบริหารในการกำหนดกฎเกณฑ์ด้านคนเข้าเมือง
ขณะเดียวกัน ในเชิงการเมือง โครงการ “Platinum Card” ที่เป็นส่วนหนึ่งของชุดมาตรการดังกล่าวยังต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส ซึ่งโฮเวิร์ด ลัตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์ ประเมินว่าอาจมีความคืบหน้าได้ในช่วงปลายปีนี้ แต่ก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องยาก เพราะแม้พรรครีพับลิกันจะครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรส แต่ก็เป็นเสียงข้างมากแบบเปราะบาง อีกทั้งภายในพรรคยังแตกแยกอย่างชัดเจน ระหว่างฝ่ายที่เห็นว่าการเปิดรับแรงงานทักษะสูงจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ กับฝ่ายอนุรักษนิยมที่ต้องการจำกัดการอพยพในทุกมิติ
ส่วนพรรคเดโมแครตซึ่งมีนโยบายเสรีนิยมกว่ายิ่งออกตัวชัดว่าไม่พอใจอย่างหนักต่อมาตรการเข้มงวดด้านคนเข้าเมือง รวมถึงการบุกจับแรงงานผิดกฎหมายในเมืองใหญ่ๆ จนแทบไม่มีแรงจูงใจจะร่วมมือกับรัฐบาล เว้นเสียแต่ฝ่ายบริหารจะยอมปรับเปลี่ยนท่าทีให้อ่อนลง ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้สำหรับประธานาธิบดีทรัมป์ที่มองว่านโยบายกีดกันคนเข้าเมืองคือหัวใจของการหาเสียงและการสร้างฐานการเมืองในอนาคต