ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกามักถูกมองว่าเป็นดินแดนแห่งโอกาส การได้ “กรีนการ์ด” หรือสิทธิพำนักถาวรถือเป็นรางวัลสูงสุดของความพยายาม ความสามารถ และความมุ่งมั่นของผู้คนจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ ศิลปิน ผู้ประกอบการ หรือแรงงานที่ทำงานหนักเพื่อสร้างอนาคตใหม่ แต่ภาพลักษณ์เชิงอุดมการณ์นี้กำลังถูกท้าทาย เมื่อทำเนียบขาวประกาศโครงการใหม่ที่ทำให้ความฝันของการได้สิทธิพำนักถาวรกลายเป็นเรื่องของตัวเลขในบัญชีธนาคารแทน
การเปิดตัว “Trump Gold Card” ในห้องทำงานรูปไข่ เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา พร้อมคำสั่งฝ่ายบริหารที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนาม ไม่ได้เป็นเพียงการประกาศนโยบายอีกชิ้นหนึ่ง แต่เป็นการพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์การอพยพของสหรัฐฯ อย่างสิ้นเชิง สิทธิการพำนักถาวรที่ครั้งหนึ่งเคยได้มาจากความสามารถหรือความอุตสาหะ กำลังถูกเสนอขายในฐานะ “สินค้า” ที่ใครก็ครอบครองได้ หากพร้อมจ่ายหนึ่ง 1-5 ล้านดอลลาร์ หรือราว 32-160 ล้านบาท
คำถามที่ตามมาจึงไม่ใช่เพียงว่าใครจะซื้อสิทธิ์นี้ แต่คือสหรัฐฯ เองพร้อมแล้วหรือยังที่จะยอมให้ “เงินตรา” เขียนกฎเกณฑ์ใหม่ แทนที่ “อุดมการณ์” ที่เคยทำให้ประเทศนี้แตกต่าง และมีกำลังคนที่ฉลาดเฉลียวและทำงานหนักกว่าประเทศอื่นๆ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดตัว “โกลด์การ์ด” เวอร์ชันใหม่ของรัฐบาลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยกำหนดราคาที่ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เปิดทางให้ชาวต่างชาติผู้มีฐานะมั่งคั่งสามารถเข้ามาอยู่อาศัยและทำงานในสหรัฐฯ ได้อย่างรวดเร็ว และถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในนโยบายตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ การเปิดตัวครั้งนี้เกิดขึ้นในห้องทำงานรูปไข่ (Oval Office) โดยมีฮาเวิร์ด ลัตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของโครงการเข้าร่วมและกล่าวสุนทรพจน์เคียงข้างประธานาธิบดี
ลัตนิกอธิบายว่าโกลด์การ์ดจะเข้ามาแทนที่โครงการวีซ่า EB-1 และ EB-2 ซึ่งปัจจุบันใช้กับบุคคลที่มี “คุณค่าพิเศษ” ต่อสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ บุคลากรทักษะสูง หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งเดิมถูกสงวนไว้ให้แก่ผู้มีความสามารถพิเศษหรือผู้ถือปริญญาระดับสูงจนได้รับฉายาว่า “Einstein Visas”
รัฐบาลทรัมป์มองว่าระบบเดิมเปิดกว้างมากเกินไป ทำให้ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มทักษะสูงสุดสามารถเข้ามาแข่งขันในตลาดแรงงานได้ เขาย้ำว่าในระยะแรก รัฐบาลตั้งเป้าจะออกโกลด์การ์ดได้ราว 80,000 ใบต่อปี และจะประเมินความเหมาะสมของรูปแบบนี้อย่างต่อเนื่อง โดยอาจค่อย ๆ ยกเลิกวีซ่าประเภทอื่น ๆ ที่ซ้ำซ้อนเพื่อทำให้ระบบตรวจคนเข้าเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น
รัฐบาลใช้เวลาหลายเดือนโปรโมตโครงการนี้ โดยเปิดให้ผู้สนใจลงทะเบียนรอคิวตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2568 และมีภาพถ่ายเผยแพร่จากนครเซี่ยงไฮ้ที่แสดงให้เห็นชาวจีนจำนวนมากใช้สมาร์ตโฟนลงทะเบียนแสดงความสนใจ กระแสตอบรับเช่นนี้สะท้อนว่านโยบายใหม่น่าจะได้รับความนิยมอย่างมากจากตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนและภูมิภาคตะวันออกกลาง ลัตนิกย้ำว่าโครงการจะสร้างรายได้มหาศาลกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ และทรัมป์เสริมว่าสามารถนำไปใช้ลดภาษีของคนอเมริกันและชำระหนี้ของรัฐบาลกลางได้ทันที
“ในโครงการวีซ่าเดิม เรามักได้คนจากกลุ่มล่างสุด 25%” ลัตนิกกล่าว “เราจะเลิกทำแบบนั้น เราจะรับเฉพาะคนที่มีความสามารถพิเศษที่สุดแทน ไม่ใช่คนที่เข้ามาแย่งงานจากชาวอเมริกัน” คำพูดดังกล่าวสะท้อนการเปลี่ยนแนวทางของรัฐบาลที่ต้องการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดต่อผู้ที่สมควรได้รับสิทธิ์เข้ามาในประเทศ โดยเน้นไปที่บุคคลที่สามารถสร้างผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจและเทคโนโลยีให้กับสหรัฐฯ
นอกจากนี้ โกลด์การ์ดยังเป็นหนึ่งในหลายแนวทางที่รัฐบาลทรัมป์กำลังจะใช้เพื่อเพิ่มรายได้เข้าคลัง ซึ่งบางแนวทางไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง รัฐบาลทรัมป์เก็บรายได้หลายพันล้านดอลลาร์จากการจัดเก็บภาษีศุลกากรใหม่ ๆ เข้าถือหุ้นในบริษัทอินเทล บังคับให้เอ็นวีเดียแบ่งรายได้ 15% จากการขายชิปบางประเภทให้จีน และแม้แต่เสนอว่าสหรัฐฯ สมควรได้รับส่วนแบ่งรายได้จากสิทธิบัตรของมหาวิทยาลัย สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงรูปแบบการบริหารแบบ “ดีลธุรกิจ” ที่ทรัมป์ใช้เป็นแนวทางหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ในเชิงปฏิบัติ โกลด์การ์ดมีลักษณะใกล้เคียงกับกรีนการ์ด โดยผู้ถือบัตรต้องเสียภาษีทั่วโลกเช่นเดียวกับพลเมืองสหรัฐฯ หรือผู้พำนักถาวรทั่วไป ค่าใช้จ่ายสำหรับบุคคลทั่วไปอยู่ที่ 1 ล้านดอลลาร์ หรือราว 32 ล้านบาท ส่วนบริษัทที่ต้องการสปอนเซอร์พนักงานต้องจ่าย 2 ล้านดอลลาร์ หรือราว 63 ล้านบาท และยังต้องจ่ายค่าตรวจสอบประวัติ (vetting fee) 15,000 ดอลลาร์ หรือราว 477,517 บาท ซึ่งสูงกว่าค่าธรรมเนียมการยื่นวีซ่าแบบเดิมหลายสิบเท่า ทำให้โครงการนี้ถูกมองว่าเป็น “ทางด่วน” ของผู้มั่งคั่งโดยเฉพาะ ไม่ใช่โอกาสสำหรับคนทั่วไป
นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงอีกหนึ่งทางเลือกที่เรียกว่า “ทรัมป์แพลตตินัมการ์ด” (Trump Platinum Card) โดยมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 5 ล้านดอลลาร์ หรือราว 160 ล้านบาท และอนุญาตให้ผู้ถือบัตรพำนักในสหรัฐฯ ได้สูงสุด 270 วันต่อปีโดยไม่ต้องเสียภาษีรายได้จากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ไม่ได้กล่าวถึงบัตรนี้ในการเปิดตัว และลัตนิกย้ำว่ายังต้องได้รับการเห็นชอบจากสภาคองเกรสก่อนที่จะดำเนินการจริง นักวิเคราะห์บางรายเชื่อว่าแพลตตินัมการ์ดอาจดึงดูดนักลงทุนมหาเศรษฐีจากเอเชีย ตะวันออกกลาง และรัสเซีย แต่ก็คาดว่าจะเผชิญแรงวิจารณ์ว่าเป็นการ “ขายสิทธิพิเศษทางภาษี”
โครงการนี้เปิดตัวในช่วงที่รัฐบาลทรัมป์เข้มงวดกับการอพยพทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย ไม่เพียงแต่มุ่งจัดการกับผู้อพยพไร้เอกสารเท่านั้น แต่ยังจำกัดช่องทางที่ถูกกฎหมาย เช่น โครงการสถานะคุ้มครองชั่วคราว (TPS) และการพักอาศัยเพื่อเหตุผลด้านมนุษยธรรม ล่าสุดยังมีการเพิ่มค่าธรรมเนียมใหม่ 100,000 ดอลลาร์ในโครงการ H-1B ซึ่งเดิมออกแบบมาสำหรับแรงงานทักษะสูง เพื่อป้องกันการใช้เกินความจำเป็น
ในภาพรวม โกลด์การ์ดสะท้อนทิศทางคู่ขนานของนโยบายการอพยพและเศรษฐกิจของทรัมป์ที่เข้มงวดต่อแรงงานต่างชาติทั่วไป แต่กลับเปิดกว้างต่อผู้มั่งคั่งและนักลงทุนระดับบนสุด เป็นการส่งสัญญาณว่าสหรัฐฯ ยินดี “ขายสิทธิการพำนัก” ให้กับผู้ที่สามารถนำเงินและศักยภาพเข้ามาสู่ระบบเศรษฐกิจได้
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชนเตือนว่าโครงการนี้อาจเผชิญการท้าทายทางกฎหมายอย่างหนัก เนื่องจากการเปิดทางให้บุคคลบางกลุ่มสามารถ “ข้ามคิว” กระบวนการตรวจสอบตามปกติ อาจถูกมองว่าไม่เป็นธรรมและเปิดช่องให้เกิดการฟ้องร้องได้ ทั้งยังสะท้อนภาพซ้ำกับนโยบายการอพยพเชิงรุกของรัฐบาลทรัมป์ในอดีตหลายครั้งที่เคยถูกนำขึ้นสู่การตรวจสอบในศาล เช่น กรณีคำสั่งห้ามเดินทาง (travel ban) และนโยบายแยกครอบครัวผู้อพยพที่ชายแดน ซึ่งต่างก็ถูกวิจารณ์และท้าทายทางกฎหมายมาแล้ว
โครงการ Gold Card ของทรัมป์ยังเต็มไปด้วยข้อถกเถียงในเชิงโครงสร้าง เพราะกฎหมายคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ ไม่ได้ให้อำนาจโดยตรงแก่ฝ่ายบริหารในการ “ขาย” วีซ่า เดิมทีวีซ่า EB-1 และ EB-2 ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับผู้มี “คุณค่าพิเศษ” เช่น บุคคลผู้มีผลงานโดดเด่นทางวิทยาศาสตร์ ศิลปะ กีฬา หรือผู้มีคุณวุฒิทางวิชาการและการลงทุนที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของชาติ การตีความใหม่ที่เปลี่ยนระบบนี้ให้กลายเป็น “จ่ายแล้วเข้าได้” ย่อมเปิดช่องให้ถูกท้าทายในศาลอย่างแทบหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งยังสร้างข้อกังขาว่าขัดแย้งกับหลักการอพยพแบบดั้งเดิมของสหรัฐฯ ที่มุ่งสร้างความหลากหลายและเปิดโอกาสแก่ผู้มีศักยภาพจากทุกชนชั้น
ในด้านเศรษฐกิจ นักวิเคราะห์เตือนว่าการหลั่งไหลเข้ามาของผู้มั่งคั่งจำนวนมากอาจทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยในเมืองใหญ่ เช่น นิวยอร์ก ไมอามี และซานฟรานซิสโก ร้อนแรงยิ่งขึ้น ราคาที่อยู่อาศัยอาจพุ่งสูงเกินเอื้อมสำหรับชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง กระตุ้นกระบวนการ gentrification ที่ผลักคนท้องถิ่นออกจากพื้นที่ดั้งเดิม ขณะเดียวกันยังมีความเสี่ยงว่าโครงการจะดึงดูด “ผู้เล่นที่ไม่พึงประสงค์” ซึ่งพยายามใช้ช่องโหว่ในการลักลอบเข้ามาลงทุนหรือฟอกเงิน แม้รัฐบาลยืนยันว่าจะมีมาตรการตรวจสอบประวัติ (due diligence) อย่างเข้มงวด แต่หากขาดกลไกกำกับดูแลที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ความน่าเชื่อถือของโครงการก็อาจถูกบั่นทอนตั้งแต่เริ่มต้น
นอกจากนี้ แม้ผู้ถือ Gold Card จะได้รับสิทธิในการยื่นขอเป็นพลเมืองสหรัฐฯ ในอนาคต แต่โครงการนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มที่ไม่จำเป็นต้องปรับตัวเข้ากับสังคมอเมริกันอย่างแท้จริง โดยเฉพาะผู้ถือ Platinum Card ที่สามารถพำนักอยู่ในสหรัฐฯ ได้นานถึง 270 วันต่อปี โดยไม่ต้องเสียภาษีจากรายได้ที่เกิดขึ้นนอกประเทศ สิทธิพิเศษนี้ทำให้พวกเขาเพลิดเพลินกับการอยู่อาศัยโดยไม่มีภาระทางภาษีหรือพันธะต่อชุมชน ซึ่งอาจทำให้ระบบตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ ถูกวิพากษ์ว่าแปรสภาพเป็นระบบ “pay-to-play” ที่ให้สิทธิทางการเมืองและเศรษฐกิจแลกกับเงินทุนเพียงอย่างเดียว
เมื่อเปรียบเทียบกับเวทีโลก สหรัฐฯ ไม่ใช่ประเทศแรกที่นำสิทธิพำนักมาวางขายในเชิงพาณิชย์ หลายประเทศได้ดำเนินโครงการ Golden Visa มานานแล้ว เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่มอบสิทธิพำนักระยะ 10 ปีให้แก่ผู้ลงทุนอสังหาริมทรัพย์มูลค่า 2 ล้านดีแรห์ม (ประมาณ 545,000 ดอลลาร์) รวมถึงประเทศในยุโรปอย่างโปรตุเกส สเปน และอิตาลีที่ใช้ระบบนี้ดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติ แต่กรณีของสหรัฐฯ กลับถูกจับตามากกว่าเพราะมิติทางสัญลักษณ์ อเมริกาเคยเป็นเสมือน “ดวงประทีปแห่งความหวัง” สำหรับผู้ลี้ภัยและผู้มีความสามารถจากทั่วโลก การเปลี่ยนความหมายของการพำนักถาวรให้กลายเป็นสินค้าที่ซื้อขายได้ อาจสั่นคลอนศรัทธาที่สั่งสมต่อระบบการอพยพของสหรัฐฯ มานานหลายศตวรรษ