องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) เสร็จสิ้นการประชุมสุดยอดที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ในวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีมติเห็นชอบให้เพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม 5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ภายใน 10 ปีข้างหน้านี้ ในแถลงการณ์ร่วมสมาชิกนาโตกล่าวว่าพวกเขามีความสามัคคีกันในการต่อต้านความท้าทายด้านความมั่นคงที่รุนแรง โดยเน้นย้ำถึงภัยคุกคามระยะยาวจากรัสเซียและการก่อการร้าย
ด้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยกย่องการประชุมสุดยอดครั้งนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาเข้าร่วมนับตั้งแต่ปี 2019 ว่าเป็น "ความสำเร็จครั้งใหญ่" เขาเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า การเพิ่มค่าใช้จ่ายทางทหารจะเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่สำหรับทุกคน เขาคิดว่าทุกประเทศจะเสมอกันในไม่ช้า
การมุ่งมั่นที่จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศในช่วงเวลา 10 ปีนั้นมาจากการเรียกเก็บเงินจากประเทศสมาชิกทั้งหมด คิดเป็น 3.5% ของ GDP จากแต่ละประเทศ และอีก 1.5% สำหรับการลงทุนที่เชื่อมโยงกับโครงสร้างพื้นฐานด้านความมั่นคงภายในปี 2035
การประชุมสุดยอดกรุงเฮก ซึ่งเริ่มต้นด้วยอาหารค่ำในคืนวันอังคารที่จัดขึ้นโดยพระเจ้าวิลเลม-อเล็กซานเดอร์และสมเด็จพระราชินีแม็กซิมาถูกปรับลดขนาดลง ทำให้การรวมตัวของผู้นำในวันพุธจะใช้เวลาเพียงแค่สองชั่วโมงครึ่งเท่านั้น มาร์ก รุตเต เลขาธิการนาโต กล่าวว่า ไม่มีใครควรสงสัยในความสามารถหรือความมุ่งมั่นของเรา หากความมั่นคงของเราถูกท้าทาย นี่คือพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ยุติธรรม และอันตราย
ในที่ประชุมสุดยอด ทรัมป์และรุตเต ต่างหยิบยกประเด็นรัสเซียและยูเครนขึ้นมากล่าวถึง โดยทรัมป์กล่าวว่าทั้งสองประเทศทะเลาะกันเหมือนเป็นเด็กที่อยู่ในสนามหญ้าโรงเรียน และรุตเตก็เสริมขึ้นมาว่า “แล้วบางครั้งพ่อก็ยังต้องใช้คำพูดที่รุนแรงอีกด้วย”
ประธานาธิบดีสหรัฐญ ยังได้หารือกับ โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนในระหว่างการประชุมสุดยอดดังกล่าว ในระหว่างการแถลงข่าวภายหลังการประชุม ทรัมป์กล่าวว่า การบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในยูเครนนั้น "ยากกว่า" ที่เขาคาดไว้ และยังได้เพิ่มโอกาสในการจัดหาระบบป้องกันทางอากาศเพิ่มเติมให้กับยูเครนอีกด้วย
ทรัมป์กล่าวว่า “เซเลนสกีเป็นคนดี เขามีปัญหานิดหน่อย ฉันคุยกับปูตินบ่อยมาก เขาอาสาให้ความช่วยเหลือเรื่องอิหร่าน ฉันเลยบอกให้ช่วยฉันเรื่องรัสเซียหน่อย ไม่ใช่เรื่องอิหร่าน”
ในแถลงการณ์ครั้งล่าสุด ประเทศสมาชิกของนาโตเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของตนในการให้การสนับสนุนยูเครน "ซึ่งความมั่นคงของยูเครนมีส่วนสนับสนุนต่อเรา" พร้อมทั้งเสริมว่าการสนับสนุนโดยตรงต่อการป้องกันประเทศของเคียฟและอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศจะรวมอยู่ในผลการประเมินการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศของพันธมิตรด้วย
เซอร์เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่า นาโตยังคงมีความสำคัญและมีความสำคัญมาจนถึงปัจจุบัน โดยเขากล่าวว่า "เราอาศัยอยู่ในโลกที่มีความผันผวนอย่างมาก และวันนี้ นาโตคือความเป็นหนึ่งเดียวที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเรา เรายิ่งใหญ่กว่าที่เคยเป็นมา และแข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็นมา"
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมดังกล่าว ไม่ใช่ว่าทุกประเทศจะเห็นด้วยกับข้อตกลงฉบับใหม่นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สเปน ซึ่งผู้นำประเทศได้คัดค้านเป้าหมายการเรียกเก็บเงินสมทบ 5% ดังกล่าว คาร์ลอส กูเอร์โป รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจสเปนกล่าวว่ารัฐบาลมาดริดพยายามที่จะลดตัวเลขลงมาเป็น 2.1% แต่ท้ายที่สุดแล้ว นายกรัฐมนตรีสเปน เปโดร ซานเชซแห่งสเปนก็ได้ลงนามในแถลงการณ์ของนาโต โดยยืนยันว่าแถลงการณ์นั้น "เพียงพอ สมจริง และสอดคล้องกัน"
ขณะที่รัฐบาลเบลเยียมยังแสดงความกังวลเช่นกัน แต่นายกรัฐมนตรีบาร์ต เดอ เวเวอร์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ "3.5% ภายใน 10 ปีเป็นเป้าหมายที่สมจริง" ด้านรัฐบาลสโลวาเกียก็แสดงความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศเช่นกัน แต่ประธานาธิบดีปีเตอร์ เปลเลกรินี ระบุว่าก็จะไม่ขัดขวางในฐานะประเทศสมาชิก
ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ไม่เห็นด้วยกับการเผชิญหน้าเรื่องภาษีการค้าระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับสหภาพยุโรป และเรียกร้องให้บรรลุข้อตกลง โดบระบุว่า “เราไม่สามารถพูดกันเองได้ว่าในกลุ่มพันธมิตร เราจำเป็นต้องใช้จ่ายมากขึ้น... และทำสงครามการค้าระหว่างกัน มันไม่สมเหตุสมผล”