Khmertimes สื่อของกัมพูชารายงานว่า สถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่ไม่ง่ายเลย และยังย้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดที่เคยเกิดขึ้นจากประเด็นเขาพระวิหารระหว่างปี 2008-2011 ของไทยและกัมพูชา
เมื่อเกิดความตึงเครียดเช่นนี้ สิ่งที่กระทบต่อมาก็คือเศรษฐกิจ สื่อของกัมพูชารายงานยอมรับว่า ปัญหาดังกล่าวกำลังส่งผลกระทบต่อ 3 ภาคส่วนเปราะบางของเศรษฐกิจกัมพูชา ได้แก่ การค้าสินค้าเกษตร การท่องเที่ยว และแรงงานอพยพที่จะเดินทางกลับประเทศ ซึ่งแต่ละภาคส่วนไม่เพียงเป็นองค์ประกอบหลักของเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจในวงกว้าง
ประการแรก การศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อ การค้าสินค้าเกษตร โดยเฉพาะการส่งออกมันสำปะหลัง ข้าว และพืชผลอื่น ๆ ที่พึ่งพาตลาดและผู้ซื้อในประเทศไทยเป็นหลัก
ประการที่สอง การศึกษาวิเคราะห์ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งไทยมีบทบาทสำคัญในฐานะประเทศต้นทางของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ากัมพูชา รวมถึงเป็นศูนย์กลางการคมนาคมในระดับภูมิภาคสำหรับนักเดินทางระหว่างประเทศที่เข้ามาทางบก
ประการที่สาม การศึกษาพิจารณาผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจจาก แรงงานกัมพูชาที่เดินทางกลับจากประเทศไทย ไม่ว่าจะโดยสมัครใจหรือเนื่องจากมาตรการควบคุมชายแดนที่เข้มงวดขึ้น พร้อมตั้งคำถามถึงศักยภาพของตลาดแรงงานภายในประเทศกัมพูชาต่อการรองรับแรงงานเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม สื่อกัมพูชามองว่า นี่ก็อาจจะเป็นโอกาสอันดีของกัมพูชาในการยกระดับภาคส่วนต่าง ๆ ให้มีความเจริญมากยิ่งขึ้น
แอนโทนี กัลเลียโน รองประธานหอการค้าอเมริกันในกัมพูชา (AmCham) และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท Cambodian Investment Management Holdings (CIM) กล่าวว่า กัมพูชาและไทยมีประวัติความตึงเครียดชายแดนยาวนาน และความตึงเครียดเหล่านี้เคยนำไปสู่การปิดพรมแดนชั่วคราว ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการค้า การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจท้องถิ่น ความขัดแย้งล่าสุดอาจเป็นภัยต่อปริมาณการค้าทวิภาคี โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย และอาจลุกลามเป็นผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในระดับภูมิภาค รวมถึงกระบวนการบูรณาการเศรษฐกิจของอาเซียนได้
กัลเลียโนอธิบายว่า ภาคการผลิตและการแปรรูปสินค้าเกษตรของกัมพูชายังต้องพึ่งพาวัตถุดิบทางการเกษตรจากไทยในระดับสูง เช่น ยางพารา แป้งมันสำปะหลัง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ดิบ และน้ำตาล หากความตึงเครียดยืดเยื้อ อุตสาหกรรมเหล่านี้อาจชะลอตัว และกระทบต่อกำหนดการจัดส่งสินค้าไปยังผู้ซื้อทั่วโลก
เมื่อถูกถามว่า ความขัดแย้งชายแดนอาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาคหรือความสัมพันธ์ในอาเซียนหรือไม่ เขาตอบว่า ความล่าช้าและต้นทุนขนส่งที่สูงขึ้นบริเวณชายแดนจะส่งผลต่อการคมนาคมทางถนนตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของอาเซียนที่เชื่อมโยงพม่า ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม
กัลเลียโนยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ภาคการบริการ โรงแรม และอาหารเริ่มได้รับผลกระทบแล้ว เนื่องจากการท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักเดินทางที่ผ่านทางประเทศไทย ซึ่งถือเป็นทางสัญจรหลัก กำลังชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด
จิเทนเดอร์ ซิงห์ ราโธเร ผู้จัดการบริษัท Asian Trails ผู้ให้บริการจัดการท่องเที่ยวในไทยและกัมพูชา กล่าวว่า แม้ความตึงเครียดจะส่งผลกระทบบางประการ เช่น การปิดด่านพรมแดนชั่วคราว ซึ่งกระทบต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยว แต่เขาย้ำว่า “สองราชอาณาจักรมีวัฒนธรรมที่มากมาย แหล่งท่องเที่ยวโด่งดัง และการต้อนรับอย่างอบอุ่น ซึ่งยังคงทำให้ภูมิภาคนี้เป็นที่รักของนักเดินทางทั่วโลก
เขาเสริมว่า ทางการทั้งสองฝ่ายกำลังทำงานร่วมกันเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัย และมีแผนฟื้นฟูการเปิดด่านอย่างมีประสิทธิภาพในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูการเดินทางและการค้าให้กลับมาเป็นปกติ
ราโธเรกล่าวว่า สถานการณ์นี้เป็นโอกาสในการยกระดับความร่วมมือระหว่างประเทศ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานชายแดน และยกระดับประสบการณ์ของนักท่องเที่ยว พร้อมคาดว่าการท่องเที่ยวในภูมิภาคจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง
แต่ขณะเดียวกัน เขาก็มองว่า แม้การปิดพรมแดนอาจจะเกิดขึ้นอีกนาน แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสของกัมพูชาในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว, กระจายแหล่งท่องเที่ยวไปยังพื้นที่ใหม่ และ ส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่สร้างประโยชน์ให้กับชุมชนท้องถิ่น
ซือน แซม นักวิเคราะห์นโยบายจาก Royal Academy of Cambodia (RAC) ให้สัมภาษณ์กับ Khmer Times ว่า มีแรงงานกัมพูชาประมาณ 2 ล้านคนที่ทำงานอยู่ในไทย ส่วนใหญ่ย้ายไปเนื่องจากขาดแคลนโอกาสงานในประเทศ หากแรงงานทั้งหมดกลับมา รัฐบาลจะต้องแบกรับภาระอันมหาศาล
แม้จะมีคำเชิญชวนให้เดินทางกลับ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อปกป้องแรงงานจากความเสี่ยงด้านความปลอดภัยระหว่างข้อพิพาท แต่แซมเน้นว่า รัฐบาลจำเป็นต้อง รับประกันความมั่นคงทางเศรษฐกิจ โดยการจัดหางานที่เพียงพอ “แรงงานเหล่านี้ยังคงต้องมีรายได้เพื่อเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว”
เขาอธิบายว่า หากมีงานมั่นคงและรายได้เหมาะสม ส่วนใหญ่ก็ยินดีอยู่กับครอบครัวในถิ่นฐานบ้านเกิดอย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่า รัฐไม่ควรใช้ประเด็นแรงงานกลับบ้านเป็นเครื่องมือกดดันทางการเมือง เพียงเพื่อให้ไทยเปิดพรมแดน แต่ควรเตรียมมาตรการรองรับอย่างเป็นระบบ
เขาระบุว่า ช่องว่างด้านเศรษฐกิจยังเป็นอุปสรรคใหญ่ แรงงานในประเทศส่วนใหญ่มีรายได้เพียงวันละ 10 ดอลลาร์ แต่ราคาสินค้าสูงขึ้นจากการนำเข้าและต้นทุนขนส่ง ทำให้รายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ และเพื่อแก้ปัญหาในเชิงระบบ แซมเสนอให้รัฐบาลเร่งส่งเสริมการผลิตและการบริโภคสินค้าในประเทศ เพื่อช่วยลดต้นทุนชีวิต และสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกษตรกร
จากรายงานคาดว่า แรงงานอาจกลับบ้านมากถึง 500,000 คน ภาคเอกชนจึงเริ่มมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะ:
นอกจากนี้ Factory Phnom Penh ยังเปิดตัวโครงการใหม่มอบพื้นที่ทำงานฟรี 1 เดือน ให้ผู้ประกอบการชาวกัมพูชา เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมและความร่วมมือ โดยเปิดให้ใช้งานพื้นที่สร้างสรรค์กว่า 76,000 ตารางเมตร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน