โลกที่กำลังผันผวนจากสงครามการค้าและความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ อาจเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่การจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสแบบนี้ ประเทศไทยต้องดำเนินกิจการทางเศรษฐกิจ “เชิงรุก” ซึ่งขณะนี้มี 3 กิจกรรมโดดเด่นที่ประเทศไทยกำลังดำเนินการเพื่อเพิ่มบทบาทเศรษฐกิจไทยในเวทีเศรษฐกิจโลก คือ การเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป การเจรจาขอเข้าเป็นสมาชิกกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ OECD และ BRICS
SPOTLIGHT ได้มีโอกาสพูดคุยกับเอกอัครราชทูตและอุปทูตไทยที่ประจำการอยู่ 5 ประเทศทั่วโลก (ฝรั่งเศส เบลเยียม รัสเซีย บราซิล และแอฟริกาใต้) ถึงความคืบหน้า ความคาดหวัง และความท้าทายของกิจกรรมใหญ่ 3 อย่างนี้
เพิ่ม FTA หรือข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับประเทศที่มีศักยภาพสูง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของประเทศ เป็นหนึ่งในเป้าหมายของประเทศไทย และ FTA หนึ่งที่ไทยมีความตั้งใจจะบรรลุก็คือ เขตการค้าเสรีไทยและสหภาพยุโรป
ก่อนหน้านี้ ไทยร่วมกับอาเซียนเจรจาความตกลงการค้าเสรี ASEAN–EU เมื่อปี 2550 แต่เป็นอันต้องล้มแผนการไปภายใน 2 ปี และเริ่มการเจรจาไทย–EU ขึ้นใหม่ในปี 2556 ปัจจุบันประเทศไทยกำลังอยู่ในขั้นตอนพิจารณา FTA กับสหภาพยุโรป โดยมีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะเจรจา ขณะนี้เจรจาไปแล้ว 4 บทจากทั้งหมด 23 บท และเกิดการเจรจาเปิดเขตการค้าเสรีระหว่างยุโรปและไทยไปแล้ว 5 ครั้ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2556 ส่วนครั้งที่ 6 จะจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย วันที่ 23 มิถุนายนนี้
รัฐบาลไทยมีการตั้งเป้าหมายที่ทะเยอทะยานว่า มุ่งหวังจะเจรจาให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ คุณกาญจนา ภัทรโชค เอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ มองว่า สถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจโลกจะเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อการพิจารณา FTA ฉบับนี้
“ตอนนี้เป็นช่วงที่ EU ต้องการหาพันธมิตรประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อความสัมพันธ์ transatlantic ระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรปไม่เหมือนเดิมแล้ว [...] ตอนนี้สหภาพยุโรปกำลังพยายามหาเพื่อนใหม่ อย่างในภูมิภาคเอเชียกลาง และเห็นความสำคัญของอาเซียนขึ้นเป็นอย่างมาก มีการเจรจาเขตการค้าเสรีอยู่กับประเทศอาเซียนถึง 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ และมี FTA อยู่แล้ว 2 ฉบับกับเวียดนามและสิงคโปร์”
นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตประจำกรุงบรัสเซลส์ยังกล่าวว่า แม้สหภาพยุโรปกำลังเผชิญกับปัญหาหลายอย่าง อาทิ การที่สหรัฐฯ จะลดการสนับสนุนด้านการเงินให้ NATO ปัญหาผู้อพยพ และกระแสความนิยมแนวคิดขวาจัด แต่ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับไทย กลับกันอาจเป็นผลดีมากกว่า เพราะยุโรปกำลังเร่งหาเพื่อนใหม่
“ตั้งแต่คณะผู้บริหารใหม่ของสหภาพยุโรปเข้ามาเมื่อปีก่อน มีความคืบหน้า FTA หลายฉบับที่รอการอนุมัติมานาน อย่างเช่น FTA กับแอฟริกาใต้ และเม็กซิโก ที่ก่อนหน้าอยู่ในขั้นตอนรออนุมัติมานาน ขณะนี้ใกล้จะลุล่วงแล้ว และเริ่มการเจรจากับอาเซียนหลายประเทศ” กาญจนากล่าว แสดงถึงความกระตือรือร้นของสหภาพยุโรปในการหาเพื่อนใหม่ เป็นนิมิตหมายอันดีของประเทศไทย และหากถามว่าทำไมตอนนี้เวียดนามเป็นดาวรุ่งของประเทศตะวันตกในยุโรปมาก นั่นก็เพราะเขามี FTA ครบ 5 ปีแล้วที่ effective ซึ่งผลของ FTA ระหว่าง EU และเวียดนาม ทำให้การค้าเพิ่มขึ้น 40% และเรียกได้ว่าเป็นแต้มต่อที่สำคัญ
ปัจจุบัน มีประเทศอาเซียนที่มีความตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปแล้ว 2 ประเทศ คือ สิงคโปร์ และเวียดนาม ซึ่งความตกลงระหว่างสหภาพยุโรปและเวียดนามที่ดำเนินอย่างเป็นทางการมาครบ 5 ปีแล้วนี่เอง เป็นผลให้การค้าของเวียดนามเพิ่มขึ้นกว่า 40% คุณกาญจนากล่าวว่าเป็นแต้มต่อที่สำคัญ และคาดว่าหากไทยได้มี FTA กับสหภาพยุโรปก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและการค้าไทยเช่นเดียวกัน
OECD หรือ Organisation for Economic Co-operation and Development คือองค์การเพื่อความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า มีประเทศสมาชิกถาวรทั้งหมด 38 ประเทศ โดยมากเป็นกลุ่มประเทศตะวันตกในยุโรปและอเมริกาเหนือ และมีประเทศในอเมริกาใต้อย่างชิลี เอเชียตะวันออกอย่างญี่ปุ่น และออสเตรเลียอยู่ด้วย ทำให้ประเทศส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีรายได้สูง
นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ เอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส กล่าวว่า การตัดสินใจขอเข้าเป็นสมาชิก OECD ของไทยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะดำเนินการมานานกว่า 2 รัฐบาลและ 3 นายกรัฐมนตรีทีเดียว
“การตัดสินใจของรัฐบาลไทยที่สมัครเป็นสมาชิก OECD นั้นสำคัญมาก เพราะจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยในระยะยาว เพราะจะช่วยยกระดับมาตรฐานของประเทศไทยให้เท่าเทียมกับประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว OECD [...] ประเมินว่าจะช่วยเพิ่ม GDP 1.5 เปอร์เซ็นต์ ทำให้กฎระเบียบการค้า การลงทุน ทันสมัยมากขึ้น ยืดหยุ่นมากขึ้น เน้นการสร้างความโปร่งใส ความยั่งยืนในระบบเศรษฐกิจไทย”
คุณศรัณย์เล่าถึงขั้นตอนการสมัครขอเป็นประเทศสมาชิก OECD คือ:
ประเทศสมาชิก OECD เชิญไทยเข้าสู่กระบวนการเข้าเป็นสมาชิก ขั้นตอนนี้ผ่านมาแล้วเมื่อกลางปี 2567 หลังไทยยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงเป็นสมาชิก ก็ได้รับการพิจารณาภายใน 4 เดือน ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่รวดเร็ว เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น โดยประเทศสมาชิกทั้งหมดเห็นชอบเปิดการหารือกระบวนการเข้าเป็นสมาชิกของไทย
ขั้นตอนนี้เกิดขึ้นได้เพราะประเทศสมาชิก OECD เชื่อว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีค่านิยมสอดคล้องกับ OECD อาทิ ประชาธิปไตย เศรษฐกิจเปิด สิทธิมนุษยชน เป็นต้น คุณศรัณย์กล่าวว่า เป็นขั้นตอนที่ทำให้หลายประเทศไม่สามารถเป็นสมาชิกของ OECD ได้ เนื่องจากมีค่านิยมต่างกัน
หลังประเทศไทยผ่านการพิจารณาขั้นตอนที่ 1 ได้มีการจัดทำเอกสาร Roadmap หรือแผนในการรับไทยเป็นสมาชิก OECD ได้เสนอ Roadmap มาเมื่อปลายปี 2567 และไทยต้องทำเอกสาร initial memorandum คือเอกสารแสดงความพร้อมของไทยเพื่อแสดงต่อ OECD
ขั้นตอนนี้ต้องอาศัยการศึกษากฎหมายและกฎระเบียบของไทย ว่าแต่ละภาคส่วนมีความพร้อมแค่ไหนที่จะปรับให้กฎหมายและกฎระเบียบของไทยสอดคล้องกับ OECD ขั้นตอนนี้ไทยมีความตั้งใจว่าจะทำให้สำเร็จภายในปลายปี 2568
มีการจัดตั้งคณะกรรมการให้ไทยเป็นสมาชิก OECD ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เป็นหัวหน้าคณะเจรจา คณะกรรมการมีการประชุมเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และกำหนดว่าอยากให้ไทยเป็นสมาชิก OECD ภายในปี 2030
การเข้าเป็นสมาชิกของไทยนั้น ระยะเวลา 5 ปีถือว่าเป็นระยะเวลาที่เร็วมาก แต่จะทำได้ไหม ขึ้นอยู่กับว่าไทยสามารถเปลี่ยนกฎระเบียบให้สอดคล้องกับแนวทางของ OECD ได้หรือไม่
ความท้าทายในการเข้าเป็นสมาชิก OECD คือ ขอบเขตที่ OECD ประกาศให้ไทยเจรจานั้นมีมากถึง 26 คณะกรรมาธิการ ไม่ว่าจะเป็น สิ่งแวดล้อม คณะกรรมาธิการการเกษตร การศึกษา หรือการต่อต้านคอร์รัปชัน ซึ่งขึ้นอยู่กับความพร้อมและสถานะกฎหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 26 ด้าน ซึ่งแน่นอนว่าความเร็วจะไม่เท่ากัน
BRICS คือกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ประกอบไปด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ เป็นกลุ่มประเทศสมาชิกดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม เมื่อต้นปี 2567 BRICS มีประเทศสมาชิกเพิ่มหลังเปิดรับสมัครสมาชิกเมื่อปลายปี 2566 ประกอบด้วย อียิปต์ เอธิโอเปีย อินโดนีเซีย อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ตอนนี้มีประเทศที่รอพิจารณาเข้าเป็นสมาชิก BRICS ได้แก่ ไทย มาเลเซีย ไนจีเรีย โบลิเวีย และตุรกี ปัจจุบันไทยมีสถานะเป็นประเทศหุ้นส่วนของ BRICS ซึ่งเป็นมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา คุณกุนทินี อักษรวงศ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงบราซิเลีย กล่าวถึงความสำคัญของกลุ่ม BRICS
“BRICS เป็นกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาและมีเป้าหมายเหมือนกันคือ เป็น global south ซึ่งมี GDP ประมาณ ¼ ของโลก และมีประชากรถึง 40% ของโลก คือเป็นกลุ่มที่ใหญ่และมีทรัพยากร การเข้าร่วมกลุ่มพวกนี้คือการหาตลาดใหม่ หาเทคโนโลยีใหม่”
เอกอัครราชทูตประจำกรุงบราซิเลียเน้นย้ำถึงแนวคิดของบราซิลและ BRICS ที่เน้นเรื่อง สภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อม การขจัดความยากจน และสาธารณสุข ซึ่งมีความเห็นสอดคล้องกับไทย ทำให้เป็นผลดีต่อการพิจารณาเข้าเป็นสมาชิก
“เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไทยเองก็มีแนวคิดเหมือนกัน หากเราเข้ากลุ่ม BRICS ได้ เราก็จะมีสิทธิในการออกนโยบายของโลกภายในกลุ่มนี้ เราจะได้เทคโนโลยี และเราจะได้ตลาด”
คุณศศิวัฒน์ ว่องสินสวัสดิ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก กล่าวว่า การเข้าร่วมเป็นสมาชิก BRICS นั้นขึ้นอยู่กับฉันทามติร่วมของประเทศสมาชิก ดังนั้นจึงไม่มีเส้นตายที่ชัดเจน
“การรับสมาชิกใช้หลักฉันทามติของสมาชิกถาวร ไม่ได้มีเดดไลน์ชัดเจน ไม่ได้มีกฎเกณฑ์ชัดเจนเรื่องสมาชิก แต่เจ้าภาพจะมีความเห็นมาก อย่างไรก็ตาม ทุกคนต้องเห็นทางเดียวกัน”
“ปีนี้บราซิลโฟกัสการสร้างความแข็งแกร่งให้ BRICS ก่อน น่าจะเปิดรับสมาชิกปีหน้า ไทยติดตามใกล้ชิด” คุณกุนทินีเสริม
การเข้าร่วมเป็นสมาชิก BRICS รวมถึง OECD และ FTA กับสหภาพยุโรป ไม่ใช่เพียงกิจกรรมสวยหรู แต่เป็นการทำงานเพื่อปากท้องของประชาชน
“ทั้ง 3 กิจกรรมนี้ไม่ใช่แค่การเข้าไปร่วม Talk Shop คือแค่เข้าไปพูดแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทั้ง 3 เรื่องนี้ล้วนเกี่ยวกับปากท้องของประชาชน เกี่ยวกับภาคเอกชนของเราโดยตรง”
คุณศศิวัฒน์กล่าวถึงความท้าทายอีกข้อของไทยต่อการเข้าเป็นสมาชิก BRICS คือ ความตระหนักรู้ของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคเอกชน และประชาชน [...]
“เราต้องทำให้ประชาชนรู้และเข้าใจว่า การที่เราเป็นสมาชิก BRICS เป็นประโยชน์กับเขาอย่างไร วิธีการไม่ใช่แค่การเข้าร่วมการประชุม ซึ่งมีมากมาย แต่เราต้องเรียงลำดับความสำคัญ ว่าประเด็นความร่วมมือใดที่เราอยากได้ประโยชน์จาก BRICS มากที่สุด อย่างความร่วมมือด้านการเงิน” คุณศศิวัฒน์กล่าว และเน้นย้ำว่าประเด็นนี้ไม่ใช่การปฏิเสธเงินดอลลาร์ แต่เป็นการเพิ่มช่องทางการชำระเงินการค้าระหว่างประเทศได้สะดวกมากขึ้น”
“หากเราจะใช้ประโยชน์จาก BRICS เราต้องทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน และเป็นรูปธรรม” คุณศศิวัฒน์ย้ำ
ปัจจุบันไม่มีประเทศสมาชิก BRICS ประเทศใดเป็นประเทศสมาชิก OECD ด้วยความต่างด้านระยะทาง และอาจด้วยอุดมการณ์ทางการเมือง ไทยจึงมองว่า หากสามารถเป็นสมาชิกของทั้ง 2 กรอบความร่วมมือ ไทยอาจทำหน้าที่เป็น bridge builder หรือตัวเชื่อมระหว่าง 2 กลุ่มได้ ทั้งเอกอัครราชทูตไทยในต่างประเทศยังยืนยันว่า การยื่นเข้าเป็นสมาชิก 2 องค์กรพร้อมกันไม่ได้ส่งผลต่อภาพลักษณ์หรือการพิจารณารับเข้า
“ทั้ง OECD และ BRICS เขาเคารพประเทศไทย เขามองว่าเราเป็นผู้ใหญ่พอที่จะบริหารจัดการท่าทีได้ ไม่มีใครตั้งแง่ว่าทำไมไทยมาสมัคร BRICS มันเป็นคนละองค์กรกัน ดังนั้นเป็นสิทธิของประเทศไทยที่จะเลือก” คุณศศิวัฒน์ เอกอัครราชทูตประจำกรุงมอสโกเล่าถึงประสบการณ์การทำงาน กล่าวว่าไม่เคยมีทูตจากประเทศตะวันตกตั้งคำถามกับการยื่นเป็นสมาชิกทั้ง 2 องค์กรของไทย ซึ่งตรงกับประสบการณ์ของคุณศรัณย์ เอกอัครราชทูตประจำกรุงปารีส ที่กล่าวว่าประเทศสมาชิก OECD ไม่ได้แคลงใจกับการที่ไทยยื่นขอเข้าเป็นสมาชิก BRICS ในเวลาไล่เลี่ยกัน
กลับกัน แนวทางทางการทูตของไทยที่ “เป็นเพื่อนกับทุกคน” หรือที่ปัจจุบันกระทรวงการต่างประเทศใช้ว่า “ไผ่ลู่ลม” อาจเป็นผลบวกต่อการยื่นเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มต่างๆ คุณไพสิฐ บุญปาลิต อุปทูต ณ กรุงพริทอเรีย ประเทศแอฟริกาใต้ขยายความ
“ตอนนี้เป็นสถานการณ์โลกที่เราต้องหาเพื่อนใหม่ๆ หาโอกาสใหม่ๆ เป็นเรื่องน่ายินดีที่โดยมากไทยเป็นที่ยอมรับอย่างดี และเป็นการแสดงออกว่าเราคบได้ ไม่ว่าจะเป็นโลกตะวันตก หรือตะวันออกบางส่วน และโลกที่อาจไม่ได้รับการยอมรับจากตะวันตกเสียเท่าไหร่ เราก็เป็นเพื่อนกับเขาได้หมด”
คุณกุนทินี เอกอัครราชทูตประจำกรุงบราซิเลียกล่าวถึงบทบาทไทยในการเป็นตัวเชื่อม 2 กรอบความร่วมมือ
“การเป็น bridge builder ไทยน่าจะอยู่ในสถานะที่ดี เนื่องจากไม่มีสมาชิก BRICS เป็นสมาชิก OECD”
คุณกุนทินีกล่าวว่า ไทยและอาเซียนมีความเหมาะสมด้านระยะทางในการทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่าง 2 กรอบความร่วมมือนี้ได้ ชี้ว่าไทยอาจเป็นประตูการค้าให้อาเซียนหรือเอเชียได้ นอกจากประเทศไทย ขณะนี้มีอินโดนีเซียที่รอพิจารณาเข้าเป็นสมาชิก OECD เช่นกัน และเป็นประเทศสมาชิกถาวร BRICS อยู่แล้ว
โดยสรุป ไทยกำลังดำเนินการการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก ด้วยการหาเพื่อนใหม่ ยื่นขอเข้าเป็นสมาชิกกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจต่างๆ มีข้อได้เปรียบคือภาพลักษณ์ที่เป็นมิตร และการเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ แต่ยังมีความท้าทายคือ การยื่นเข้าเป็นสมาชิกส่วนใหญ่อาศัยฉันทามติ และการพิจารณาความคิดอ่านที่เหมือนกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับประเทศสมาชิกเห็นควร และความพร้อมด้านกฎหมายและหน่วยงานของไทย ว่ามีความตื่นตัวเพียงใด