Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
สหรัฐฯ-อิหร่านเครียด เร่งอพยพทูต ครอบครัวทหาร ออกจากตะวันออกกลางด่วน!
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

สหรัฐฯ-อิหร่านเครียด เร่งอพยพทูต ครอบครัวทหาร ออกจากตะวันออกกลางด่วน!

12 มิ.ย. 68
12:16 น.
แชร์

กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ สั่งอพยพบุคลากรอเมริกันที่ไม่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เจ้าหน้าที่สถานทูตบางส่วนและครอบครัวของทหาร ออกจากสำนักงานต่าง ๆ ทั่วตะวันออกกลาง แม้จะยังไม่ชัดเจนว่าอะไรคือสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในครั้งนี้ แต่เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมกล่าวว่ากองบัญชาการกลางของสหรัฐฯ กำลังเฝ้าติดตาม “ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง”

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวกับนักข่าวเมื่อวันวานนี้ (12 มิ.ย. 68) ว่า “พวกเขาถูกย้ายออกไปเพราะอาจเป็นสถานที่ที่อันตราย และรัฐบาลสหรัฐฯ จะคอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขาได้ย้ายออกไปแล้วหรือเราแจ้งให้พวกเขาย้ายออกไปแล้ว และเราจะดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

ถึงแม้สาเหตุของความกังวลด้านความปลอดภัยที่เพิ่มมากขึ้นในภูมิภาคนี้ยังไม่ชัดเจน แต่แผนการออกเดินทางดังกล่าวเกิดขึ้น ขณะที่ความตึงเครียดระหว่างอิหร่านและอิสราเอลที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ยังคงดำเนินการตามข้อตกลงนิวเคลียร์ฉบับใหม่กับอิหร่านต่อไป

แหล่งข่าวภายในเปิดเผยว่า นายพีท เฮกเซธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อนุมัติให้ผู้ติดตามทหารสามารถเดินทางโดยสมัครใจออกจากสถานที่ต่าง ๆ ทั่วตะวันออกกลางได้ โดยระบุว่า ความปลอดภัยและความมั่นคงของทหารและครอบครัวของพวกเขายังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเรา และกองบัญชาการกลางของสหรัฐฯ (CENTCOM) กำลังเฝ้าติดตามสถานการณ์ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง

นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศยังเตรียมสั่งถอนกำลังเจ้าหน้าที่ที่ไม่จำเป็นออกจากสถานทูตสหรัฐฯ ในอิรัก บาห์เรน และคูเวต เนื่องจากมีความเสี่ยงด้านความมั่นคงที่เพิ่มมากขึ้นในภูมิภาคนี้ แหล่งข่าวเผยว่าจะมีคำสั่งให้บุคลากรที่ไม่จำเป็นเดินทางออกไปที่สถานกงสุลสหรัฐฯ ในเมืองเออร์บิล เขตปกครองตนเองในอิรัก 

อิสราเอล-อิหร่าน-สหรัฐฯ ตึงเครียด

ทรัมป์กล่าวว่า เขามีความมั่นใจน้อยลงในการบรรลุข้อตกลงกับอิหร่านที่จะจำกัดการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศ โดยกล่าวในการสัมภาษณ์ครั้งใหม่ว่า อิหร่านอาจ "ชะลอ" การบรรลุข้อตกลง ระบุว่า “ผมเริ่มมีความมั่นใจน้อยลงเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะล่าช้า และผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องน่าเสียดาย แต่ตอนนี้ผมมีความมั่นใจน้อยลงกว่าเมื่อสองสามเดือนก่อนว่าจะมีการบรรลุข้อตกลงได้ในเร็ว ๆ นี้” ขณะที่ ทรัมป์บอกกับนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ให้หยุดพูดถึงการโจมตีอิหร่าน ผู้นำทั้งสองได้พูดคุยทางโทรศัพท์เมื่อวันจันทร์ ทรัมป์กล่าวในเวลาต่อมาว่าการสนทนาเป็นไปด้วยดีและราบรื่น

เมื่อเดือนที่แล้ว CNN รายงานว่า สหรัฐฯ ได้รับข่าวกรองชุดใหม่ซึ่งบ่งชี้ว่าอิสราเอลกำลังเตรียมโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน เจ้าหน้าที่เผยว่าเห็นสัญญาณบ่งชี้ถึงท่าทีของกองทัพอิสราเอล รวมถึงการเคลื่อนย้ายอาวุธทางอากาศและการเสร็จสิ้นการซ้อมรบทางอากาศ

รัฐมนตรีกลาโหมอิหร่าน อาซิซ นาซิรซาเดห์ เตือนว่า หากการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์กับสหรัฐฯ ล้มเหลว และเกิดความขัดแย้งขึ้น สหรัฐฯ จะ “ถูกบังคับให้ออกจากภูมิภาค”  ในสถานการณ์เช่นนี้ “ศัตรูจะสูญเสียอย่างหนักแน่นอน” ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ระบุว่า “ศัตรู” คือสหรัฐฯ หรืออิสราเอล หรือทั้งสองฝ่ายก็ตาม และยังเผยผ่านโทรทัศน์ระดับชาติ ระบุว่า เจ้าหน้าที่บางส่วนจากฝ่ายตรงข้ามได้ "กล่าวถ้อยคำคุกคามและเตือนถึงความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใดๆ ได้" ในการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน

อิรัก-อิหร่าน ในยุคทรัมป์และไบเดน ต่างกันอย่างไร?

ยุคทรัมป์ (2025): นโยบายของทรัมป์ต่ออิหร่านจะยังคงเน้นที่ "แรงกดดันสูงสุด" (maximum pressure) ซึ่งเป็นนโยบายที่เขานำมาใช้ในสมัยแรก นโยบายนี้รวมถึงการใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างเข้มงวด การดำเนินการทางกฎหมาย และการเพิ่มกำลังทหารในภูมิภาคเพื่อกดดันอิหร่านให้ยุติโครงการนิวเคลียร์และหยุดสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย 

แม้จะมีการเจรจาทางการทูตเกี่ยวกับข้อตกลงนิวเคลียร์ใหม่ แต่ทรัมป์ยังคงแสดงความไม่มั่นใจว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้สำเร็จ และย้ำว่าสหรัฐฯ จะไม่อนุญาตให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม มีรายงานว่า ทรัมป์พยายามเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ใหม่กับอิหร่าน โดยบางแหล่งระบุว่ามีการส่งจดหมายถึงผู้นำสูงสุดของอิหร่านเพื่อเริ่มการเจรจา แต่ความคืบหน้ายังไม่ชัดเจนและมีท่าทีที่ระมัดระวังจากทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ยังมีความตึงเครียดด้านความมั่นคง โดยมีรายงานการข่มขู่จากอิหร่านต่อฐานทัพสหรัฐฯ ในภูมิภาค

ยุคอดีตผู้นำสหรัฐฯ โจ ไบเดน: ไบเดนมีแนวทางที่เน้นการทูตและการกลับไปสู่ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน (JCPOA) หากอิหร่านกลับมาปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างครบถ้วน เขาต้องการสร้างความร่วมมือกับชาติยุโรปเพื่อเจรจาในประเด็นที่นอกเหนือจาก JCPOA ด้วย เช่น โครงการขีปนาวุธของอิหร่านและกิจกรรมที่เป็นอันตรายในภูมิภาค แม้ว่าไบเดนจะยังคงคว่ำบาตรอิหร่านเพื่อตอบโต้กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายและโครงการขีปนาวุธ แต่แนวทางโดยรวมของเขาคือการลดการเผชิญหน้าและเปิดช่องทางการทูตมากกว่าทรัมป์

ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดคือ แนวทางในการรับมือกับอิหร่าน ทรัมป์ยึดมั่นในนโยบาย "แรงกดดันสูงสุด" และแสดงความไม่เชื่อมั่นในการบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ ขณะที่ไบเดนเน้นการทูตและพยายามที่จะรื้อฟื้นข้อตกลง JCPOA ส่วนความสัมพันธ์กับอิรักนั้น ทรัมป์อาจมีแนวทางที่แข็งกร้าวและพร้อมใช้มาตรการกดดันมากขึ้นเพื่อจำกัดอิทธิพลของอิหร่าน ในขณะที่ไบเดนพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ครอบคลุมและเป็นหุ้นส่วนกับอิรักมากขึ้น โดยไม่ได้มองอิรักเป็นเพียงส่วนหนึ่งของนโยบายอิหร่านเท่านั้น


แชร์
สหรัฐฯ-อิหร่านเครียด เร่งอพยพทูต ครอบครัวทหาร ออกจากตะวันออกกลางด่วน!