สหภาพยุโรปประกาศมาตรการคว่ำบาตรชุดใหม่ต่อรัสเซียเมื่อวานนี้ (10 มิ.ย. 68) โดยให้เหตุผลว่า ในช่วงนี้ กองทัพรัสเซียเดินหน้าโจมตียูเครนอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทุกวัน แสดงให้เห็นว่ารัสเซียไม่สนใจสันติภาพอย่างแท้จริง แม้ว่าในขณะเดียวกัน รัสเซียมีความเคลื่อนไหวเชิงบวกด้านการทูตก็ตาม เช่น การร่วมดีลแลกเปลี่ยนตัวประกันครั้งใหญ่ หรือ ยอมลงนามหยุดยิงระยะสั้น เป็นต้น ทั้งนี้ สหภาพยุโรปได้ออกมาตรคว่ำบาตรต่อรัสเซียครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 18 แล้ว นับตั้งแต่รัสเซียเปิดฉากการรุกรานยูเครนเต็มรูปแบบในปี 2022
นางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวว่าการคว่ำบาตรมีความจำเป็น “เพราะความเข้มงวดเป็นภาษาเดียวที่รัสเซียจะเข้าใจ” เธอกล่าวว่า “เราต้องการสันติภาพสำหรับยูเครน แม้จะมีความพยายามทางการทูตมาหลายสัปดาห์ แม้ว่าประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีแห่งยูเครนจะเสนอให้หยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข แต่รัสเซียยังคงนำความตายและการทำลายล้างมาสู่ยูเครน เป้าหมายของรัสเซียไม่ใช่สันติภาพ แต่เป็นการบังคับใช้อำนาจ ดังนั้น เราจึงเพิ่มแรงกดดันต่อรัสเซีย”
สำหรับบทลงโทษต่อรัสเซียในครั้งนี้ สหภาพยุโรปสั่งลดเพดานราคาส่งออกน้ำมันของรัสเซียจาก 60 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เหลือเพียง 45 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล นอกจากนี้ ยังสั่งห้ามทำธุรกรรมกับธนาคารและสถาบันการเงินของรัสเซียในประเทศที่สามโดยเด็ดขาด เพื่อปิดช่องทางไม่ให้รัสเซียหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรโดยเปลี่ยนเส้นทางการเงินจากต่างประเทศแทน
สหภาพยุโรปยังกล่าวว่า เสนอให้ห้ามการใช้โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของรัสเซีย โดยห้ามผู้ประกอบการในสหภาพยุโรปรายใด ๆ เข้ามามีส่วนร่วมโดยตรงหรือโดยอ้อมในธุรกรรมเกี่ยวข้องกับท่อส่งน้ำมัน Nord Stream ซึ่งเป็นโครงการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติใต้ทะเลขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศรัสเซียและเยอรมนี ผ่านทะเลบอลติก
การส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับงบประมาณของรัฐบาลรัสเซีย ในช่วงก่อนสงครามยูเครน ยุโรปนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียสูงถึงประมาณ 40-45% ของการนำเข้าทั้งหมด และท่อ Nord Stream 1 เป็นเส้นทางหลักที่สำคัญในการส่งก๊าซนี้โดยตรงไปยังเยอรมนี ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป
นอกจากนี้ นานาชาติยังต้องการเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรภาคการธนาคารของรัสเซียอีกด้วย หลังจากการรุกรานเมื่อปี 2022 สหรัฐฯ สหภาพยุโรป อังกฤษ และแคนาดา ได้ร่วมกันสั่งห้ามธนาคารรัสเซียบางแห่งใช้บริการส่งข้อความผ่าน SWIFT ซึ่งเป็นเครือข่ายความปลอดภัยสูงที่เชื่อมโยงสถาบันการเงินหลายพันแห่งทั่วโลก ซึ่งทำให้ธนาคารเหล่านี้ส่งและรับเงินจากต่างประเทศได้ยากขึ้นมาก
อย่างไรก็ตาม มาตรการคว่ำบาตรชุดใหม่ข้างต้น จะต้องได้รับการอนุมัติจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 27 ประเทศ ซึ่งอาจมีความซับซ้อนเนื่องจากก่อนหน้านี้รัฐบาลบางประเทศที่สนับสนุนเครมลิน เช่น ฮังการีและสโลวาเกีย แสดงความกังวลเกี่ยวกับการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม
เมื่อเดือนที่แล้ว ผู้นำเยอรมนี ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และโปแลนด์ ได้เรียกร้องให้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ตกลงหยุดยิงเป็นเวลา 30 วัน ไม่เช่นนั้นอาจต้องเผชิญกับการคว่ำบาตรครั้งใหญ่ ปูตินเพิกเฉยต่อคำขาดดังกล่าว โดยเสนอให้มอสโกวและเคียฟ เจรจากันโดยตรงแทน
การเจรจาสองรอบในอิสตันบูล ประเทศตุรกี ชี้ให้เห็นชัดว่า รัสเซียยังคงยึดมั่นกับความต้องการสูงสุดของตน ซึ่งในทางพื้นฐานแล้วก็เท่ากับว่ายูเครนต้องยอมจำนน ด้านประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ออกมากล่าวถึงมาตรการคว่ำบาตรดังกล่าว ระบุว่า “ความสามารถของรัสเซียในการทำสงครามต่อไปนั้น มาจากความสามารถในการขายน้ำมันและหลีกเลี่ยงอุปสรรคทางการเงิน” และมองว่ามาตรการคว่ำบาตรของยุโรปนับเป็นก้าวสำคัญที่จะนำมาซึ่งสันติ พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ ออกโรงคว่ำบาตรเช่นเดียวกัน
ผู้นำยูเครนกล่าวว่า รัสเซียได้เพิ่มจำนวนอาวุธในการโจมตีอย่างต่อเนื่อง นี่เป็นแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต และนั่นหมายความว่ารัฐบาลมอสโกไม่กลัวใครในโลกอีกแล้ว ปูตินต้องการสังหารประชาชนยูเครน และใช้ประโยชน์จากการเพิกเฉยและไม่มีการตอบโต้จากนานาชาติ