
KFC เครือร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดขนาดใหญ่ที่มีสาขามากกกว่า 150 สาขาทั่วโลก และมีสาขาในประเทศไทยมากกว่า 1,200 สาขา แต่ละสาขาก็มีเมนูมากมาย อุ่นร้อน อร่อยพร้อมเสิร์ฟ ไม่มีของเหลือทิ้งเลย ไม่มีทางเป็นไปได้
ของเหลือที่ภาคธุรกิจ อย่าง KFC และธุรกิจอื่นๆ ทำมาเผื่อขาย ถ้าขายไม่หมดก็เป็นขยะอาหาร ขยะที่มีสัดส่วนมาก จัดการยาก ทำให้การแยกขยะยุ่งยากเข้าไปอีก
คุณพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืนกล่าวว่า ขยะจากเศษอาหารถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ในกรุงเทพมหานครทีเดียว เพราะขยะเกือบ 50% ที่คนกรุงเทพสร้างเป็นขยะจากเศษอาหาร ใกล้เคียงกันกับข้อมูลปี 2565 จาก rocketmedialab ที่เผยว่ากรุงเทพฯ สร้างขยะราว 12,281 ตันต่อวัน เป็นขยะอินทรีย์ราว 45%
นอกจากนี้ รายงานจากกรมควบคุมมลพิษปี 2566 ชี้ว่า ทั่วประเทศไทย มีขยะมูลฝอยปริมาณมากถึง 26.95 ล้านตัน และขยะอาหาร 10.24 ล้านตัน
ขยะอาหารเหล่านั้น ถ้าไม่แยกให้ดีก็จะทำให้ขยะอื่น ๆ ปนเปื้อน จากที่รีไซเคิลได้ก็กลายเป็นไม่ได้ เพราะมีทั้งความชื้น แบคทีเรีย กลิ่น และอื่นๆ
ที่น่ากังวลก็คือ กว่า 40% ของขยะอาหารนั้น ยังเป็นอาหารที่รับประทานได้ อาหารที่ขายไม่หมดคือหนึ่งในนั้น สะท้อนปัญหาการคัดแยกขยะ และการไม่ตระหนักถึงการไม่สร้างขยะอาหารตั้งแต่ต้นทาง
“การทำให้ไม่เกิดขยะดีกว่าการที่ขนะเกิดแล้วแล้วค่อยแยก ถ้ามีสินค้าอาหารที่ไม่ขายแล้ว แทนที่จะไปทิ้งให้กทม.ฝังกลบ ก็ไปหาใช้ประโยชน์อื่นๆ ก่อนที่จะทิ้ง” คุณพรพรหมกล่าว
การนำสินค้าที่ไม่ขายแล้วแต่ยังมีคุณภาพดีส่งต่อให้ชุมชนที่ต้องการ จึงเป็นแนวคิดของโครงการ KFC Harvest ไม่ทิ้งใคร…ให้ต้องหิว หรือที่เรียกกันในชื่อเล่นว่า “ไก่น้อง”
โครงการ KFC Harvest คือโครงการส่งต่ออาหารส่วนเกินจาก KFC สาขาต่าง ๆ ไปให้ชุมชนที่ต้องการ เพิ่มการเข้าถึงอาหารสำหรับกลุ่มเปราะบางทั่วประเทศไทย
โครงการดังกล่าวจัดขึ้นต่อเนื่องมากว่า 6 ปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ส่งมอบมื้ออาหารต่อให้คนที่ต้องการมากกว่า 400,000 มื้อ ใช้ประโยชน์จากอาหารส่วนเกินได้มากกว่า 100 ตัน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 250 ตัน
ในประเทศไทยมี KFC สาขาที่เข้าร่วมมากว่า 400 สาขา คุณแจเน็ต รุ้งสิทธิกุล ผู้จัดการการตลาดอาวุโส KFC Thailand เน้นย้ำถึงเป้าหมายการเพิ่มสาขาที่เข้าร่วมกล่าวว่า จะเพิ่มให้ได้ 800 สาขาในปีหน้า แต่ต้องสร้างทีมที่พร้อมควบคู่ไปด้วย
“ตอนนี้เราไป 25 จังหวัดเอง เรายังเหลืออีกเยอะ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะให้แล้วก็ให้ได้เลย ต้องมีการฝึกอบรม ต้องดูความพร้อมของพื้นที่ ของทีมงานว่าเขาพร้อมไหม ไม่อยากแค่เอาไก่ไปให้ แล้วให้เขาจัดการเอง เพราะแบบนั้นอาจอันตรายกับคนทาน ต้องมีทีมแม่ครัวมา recook ให้เราเพื่อให้มั่นใจ” คุณแจเน็ตกล่าว และบอกว่าขณะนี้จังหวัดที่มีสาขาเข้าร่วมและส่งต่อไก่น้อง คือ กรุงเทพฯ เขียงใหม่ และชลบุรี
ทีม KFC ให้ความมั่นใจเรื่องคุณภาพของไก่น้อง โดยอธิบายว่า ไก่ที่นำมาส่งต่อให้ชุมชนคือ ไก่ที่หมดอายุการขาย (90 นาทีนับตั้งแต่ไก่ถูกวางบนตู้กระจกรอลูกค้ามาสั่งซื้อ) แต่ยังมีคุณภาพ และผ่านกระบวนการเก็บที่เข้มงวดคือ
หลังจากไก่ออกจากตู้แช่ที่สาขาของ KFC ไก่จะยังคงบรรจุอยู่ในถุงเก็บความเย็น และถูกขนส่งไปที่ชุมชนใกล้เคียง ในรัศมีที่ไม่ไกลเกินไป เพื่อเก็บรักษาคุณภาพไก่ หลังจากนั้นไก่จะต้องถูกนำมาประกอบอาหารภายใน 1 เดือนเพื่อให้ทุกคนได้ทานไก่ที่คุณภาพดีอยู่ โดยทาง KFC เน้นย้ำว่า จะต้อง “แกะออกจากกระดูก” และ “ทอดใหม่” เสมอ ในกรณีเลือดไก่จากกระดูกปนเปื้อนขณะแช่แข็ง และเพื่อให้มั่นใจในความสะอาดปลอดภัย
โครงการ KFC Harvest นั้นมีพาร์ทเนอร์ของ KFC มาร่วมด้วยช่วยกัน ผลักดันทั้งเรื่อง “การลดขยะอาหาร” และ “สร้างประโยชน์ให้ชุมชน” เคียงคู่กัน หนึ่งในนั้นคือ Scholars of Sustenance (SOS)
SOS คือองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่นพอาหารส่วนเกินจากแหล่งต่าง ๆ อาทิ โรงแรม ซูเปอร์มาณ์เก็ต ร้านอาหาร มาแจกจ่ายให้กับผู้ขาดแคลนอาหาร ซึ่งในที่นี้ ช่วย KFC ในการจัดเก็บไก่น้องจากบางสาขา และส่งต่อให้ชุมชน และทำหน้าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพไก่ที่นำไปส่ง ให้คำแนะนำเรื่องวิธีการเตรียมและอุ่นร้อนอย่างถูกต้องก่อนบริโภคด้วย
SOS มีแนวทางการคัดเลือกชุมชนตามระดับความเดือดร้อน 5 ระดับ วางอยู่บนปัจจัยต่าง ๆ อาทิ เป็นพื้นที่ภัยพิบัติ กลุ่มเปราะบาง กลุ่มคนว่างงาน ผู้ป่วยติดเตียง จะเป็นกลุ่มที่ SOS เร่งให้ความช่วยเหลือก่อน
คุณณัฐพล เกษมราษฎร์ Logistic & Donor Supervisor ของ SOS เล่าถึงความต้องการไก่น้องเทียบในกรุงเทพฯ และพื้นที่ห่างไกล
“ในต่างจังหวัด ผมว่าความต้องการมีมากกว่า และมีสาขาผู้บริจาค (KFC) น้อยกว่าในกรุงเทพฯ ผมได้ไปลงพื้นที่ที่นครสวรรค์ โรงเรียนในพื้นที่ได้งบประมาณไม่กี่บาท บางคนอาจไม่เคยทานเนื้อสัตว์เลย ตอนนี้มีโรงเรียนที่ลงทะเบียนอยากได้ไก่น้องเยอะมาก เต็มข้ามเดือนเลย”
นอกจาก SOS แล้ว KFC ยังทำงานร่วมกับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ ซึ่งดูแลกลุ่มเปราะบาง และขนส่งไก่น้องให้ชุมชนในพื้นที่ที่ SOS ไม่ได้ดูแลอยู่ ยังไม่นับรวมถึงอาสาสมัครท้องถิ่นอีกหลายร้อยชีวิตที่รับไก่น้องมาทำอาหารส่งต่อให้คนในชุมชนอีกทอด
วันที่ 18 ธันวาคม 2568 KFC นำไก่น้องประจำสัปดาห์มาส่งมอบที่ชุมชนบ่อนไก่ เขตลุมพินี และเปิดครัวทำอาหารเป็นพิเศษ ด้วยเมนูขายดี “ข้าวยำไก่แซ่บ” แจกคนในชุมชนซึ่งมีประชากรราว 300 ครัวเรือน
หลังมีเสียงคณะกรรมการชุมชนประกาศว่า “KFC พร้อมแจก” ชาวบ้านก็มารวมตัวกันภายในระยะเวลาอันสั้น ในมือถือกล่องข้าว ถ้วยชาม ต่อแถวรับอาหารอย่างเป็นระเบียบ และข้าวยำไก่แซ่บจากไก่น้องก็หมดภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง
เนติวา กันติเอิ้อ เลขานุการชุมชนเคหะบ่อนไก่กล่าวว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ KFC มาเปิดครัวทำอาหารที่ชุมชน และชุมชนยินดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่ KFC แต่รวมถึงหน่วยงานอื่น ๆ ที่นำอาหารและของใช้มาแจกจ่ายให้ชุมชนเสมอ
“ช่วยได้มากเลย เพราะคนแถวนี้เป็นคนรากหญ้าเยอะ คนมาจากต่างจังหวัดมาทำมาหากินก็มีเยอะมาก เวลามีอะไรมาแจกแบบนี้เรายินดีเลย […] ถ้ามีได้ฟรีซใส่ถุงมาเราก็ทำได้ เรามีแม่ครัวในคณะกรรมการชุมชนหลายคน เวลามี [อาหารและของใช้] มา เราก็จะประกาศล่วงหน้าก่อนว่าวันไหน จะมีอะไรมาแจก” คุณเนติวาเล่า และเสริมว่าสิ่งที่ชุมชนต้องการเป็นพิเศษคือ น้ำมัน ข้าวสาร ไข่ไก่ แต่อาหารเป็นมื้อ ๆ อย่างของ KFC ชุมชนก็ยินดีมากเช่นกัน
คุณภัทรา ภัทรสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายบริหารแบรนด์ KFC Thailand กล่าวย้ำถึงเป้าประสงค์หลังของโครงการ KFC Harvest
“สิ่งที่เราตั้งใจมาตลอดในโครงการ KFC Harvest คือการทำให้ ‘อาหาร’ กลายเป็นโอกาสให้กับคนในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหนของปี เราอยากให้เคเอฟซีเป็นส่วนเล็ก ๆ ที่ช่วยเติมเต็มชีวิตประจำวันของใครบางคน ด้วยมื้อที่ปลอดภัย อร่อย และส่งต่อด้วยความตั้งใจจริงจากทีมงานและอาสาในทุกพื้นที่”