8 ตุลาคม 2568 เดนิกา ริอาดินี-เฟลช (Denica Riadini-Flesch) อดีตนักเศรษฐศาสตร์ชาวอินโดนีเซีย ผู้ผันตัวมาเป็นผู้ประกอบการชนะรางวัล Pritzker Emerging Environmental Genius Award ประจำปี 2568 จากการพิสูจน์ว่า “แฟชั่น” สามารถสร้างรายได้ให้คนกลุ่มเปราะบาง และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติสำคัญอย่าง “ดิน” ได้
ริอาดินี-เฟลช วัย 35 ปี เคยเป็นนักเศรษฐศาสตร์จากจาการ์ตา ผู้เคยเชื่อว่าการพัฒนาและการเติบโตเป็นสิ่งที่อยู่คู่กัน แต่การเดินทางไปหมู่บ้านแห่งหนึ่งในพื้นที่ห่างไกลเปลี่ยนความคิดเธอ เมื่อความจริงปรากฎว่า ผู้หญิงในหมู่บ้านชนบททำงานสิ่งทอเป็นสัปดาห์กว่าจะได้เงินแค่ไม่กี่ดอลลาร์ แต่ราคาที่ต้องจ่ายคือผิวหนังและปอดที่ถูกทำลายจากสีย้อมสังเคราะห์ในโรงงานสิ่งทอ
อุตสาหกรรมสิ่งทอเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนและส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมมาก อินโดนีเซียที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีตลาดสิ่งทอใหญ่ที่สุด
บริษัทเครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอขนาดใหญ่และขนาดกลางกว่า 5,000 แห่งในอินโดนีเซีย ป้อนผลิตภัณฑ์ให้แบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังมากมาย อาทิ Tommy Hilfiger, Uniqlo หรือ Calvin Klein และสร้างมูลค่าให้เศรษฐกิจอินโดนีเซียถึง 5.84% GDP ในปี 2567 และมีขนาดตลาดราว 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ ทั้งดูมีท่าจะเติบโตต่อเนื่องจนคาดว่าจะแตะ 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐก่อนปี 2573
อุตสาหกรรมสิ่งทอมีการจ้างงานอยู่ถึง 4 ล้านตำแหน่ง ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงในโรงงานสิ่งทอ ที่มักมีสภาพแวดล้อมการทำงานแย่ ค่าแรงต่ำ และเผชิญความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชน อย่างความรุนแรงทางเพศ
ความเสี่ยงเหล่านั้นเกิดจากความไม่เท่าเทียมทางอำนาจ วัฒนธรรมการไม่ปริปากในที่ทำงาน และเป้าหมายทางธุรกิจที่สูงเกินเอื้อม ทำให้แรงงานจำนวนมากต้องทำงานเกินความจำเป็นเพื่อให้สามารถผลิตงานทะลุเป้าได้ ทั้งหมดนี้ด้วยค่าจ้างรายเดือนระหว่าง 1.7 - 3.5 ล้านรูเปียห์อินโด หรือ 3,360 - 6,920 บาทต่อเดือนเท่านั้น
สิ่งแวดล้อมเป็นอีกค่าเงินที่โลกจ่ายให้อุตสาหกรรมสิ่งทอ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่ผลิตสิ่งทอกว่า 60% ของโลก และมีการจ้างงานกว่า 40 ล้านตำแหน่ง ค่าสิ่งแวดล้อมที่เอเชียจ่ายมีหลัก ๆ อยู่ 2 ชนิดคือ: การผลาญทรัพยากรน้ำอย่างสิ้นเปลือง และพิษจากการใช้สารเคมี
สิ่งทอใช้น้ำและสารเคมีอย่างหนักหน่วง เป็นภาคการผลิตหนึ่งที่ใช้น้ำเปลืองที่สุด หรือน้ำจืดกว่า 79 ล้านคิวบิกเมตรต่อปี ตั้งแต่การผลิตเส้นใยในอุตสาหกรรมการเกษตรและปศุสัตว์ จนถึงการพิมพ์ลาย การย้อม และอื่น ๆ และเหตุผลนี้เอง อินโดนีเซียจึงมีตลาดสิ่งทอขนาดใหญ่ เพราะมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์พอสนับสนุนการผลิตเสื้อผ้าและหมวดใบสวย
แต่แหล่งน้ำใกล้โรงงานสิ่งทอมีความเสี่ยงปนเปื้อนสารอันตราย การวิจัยปี 2017 พบว่ามลพิษทางน้ำกว่าร้อยละ 20 ของโลกใบนี้ เป็นผลมาจากการย้อมและบำบัดสิ่งทอ นอกจากนี้ยังสร้างคาร์บอนฟุตปริ้นถึง 6-8% ในปี 2015 หรือเทียบราว 1,700 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์
ผลด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเหล่านั้น โดยมากมาจากโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่ริอาดินี-เฟลชมองว่า การสร้างสิ่งทอไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเสมอไป
Sukkha Citta แปลว่า ความสุข ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2017 โดย เดนิกา ริอาดินี-เฟลช เพื่อพิสูจน์ว่า สิ่งแวดล้อมและบริโภคนิยมอยู่ร่วมกันได้ แต่ต้องทำอย่างใส่ใจ และมีสูตรลับสักหน่อย สำหรับ ริอาดินี-เฟลชคือ การใส่ใจสิ่งแวดล้อมและคืนประโยชน์ต่อชุมชน
ริอาดินี-เฟลช กล่าวถึงหลักคิดในการทำธุรกิจอย่างเข้าใจชุมชนกับบทสัมภาษณ์กับ South China Morning Post
“ในฐานะแบรนด์ฟาร์มสู่ตู้เสื้อผ้า เราต้องทำงานตามฤดูแล้ง ฤดูฝน และปฏิทินชุมชนของคนในชุมชนต่าง ๆ” เธอกล่าว
การทำสิ่งทอของสุขขา จิตตาปกป้องสิ่งแวดล้อมในชุมชน ลดกระบวนการทางเกษตรกรรมที่ทำลายสิ่งแวดล้อม แต่เป็นเกษตรแบบฟื้นฟู ด้วยการปลูกฝ้ายลงในแปลงผสมที่ช่วยฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน สีย้อมมาจากวัตถุธรรมชาติ 100% อย่าง ต้นครามและใบไม้มะฮอกกานี ย้อมลงบนผ้าที่ทอจากกี่มือแบบดั้งเดิม ตรงตามคอนเซ็ปต์ “จากฟาร์มสู่ตู้เสื้อผ้า”
สุขขา จิตตา ใช้โมเดลธุรกิจที่มุ่งเน้นการสร้างพลังให้ช่างฝีมือท้องถิ่นอินโดนีเซีย ผ้าของสุขขา จิตตา ส่งตรงมาจากลานบ้านและฟาร์มขนาดเล็กทั่วเกาะชวา บาหลี ฟลอเรส และติมอร์ตะวันตก
ถึงปี 2024 สุขขา จิตตา มีพนักงานกว่า 400 คน ตั้งแต่ชาวไร่ ช่างย้อมสี และช่างเย็บปัก และเน้นเสริมพลังให้ผู้หญิงมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและโอกาสในการทำงานมากขึ้น และอนุรักษ์หัตถศิลป์และเทคนิคการเพาะปลูกแบบดั้งเดิม
สุขขา จิตตาได้ฟื้นฟูพื้นที่ดินเสื่อมโทรมแล้วกว่า 485,623 ตารางเมตร ป้องกันไม่ให้น้ำเสียจากสีย้อมพิษกว่า 5 ล้านลิตรไหลลงสู่แม่น้ำ และช่วยเพิ่มรายได้ของผู้หญิงในท้องถิ่นโดยเฉลี่ยกว่า 60%
“ช่างฝีมือและชาวไร่ท้องถิ่นขาดตัวเชื่อมแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง [...] เมื่อช่างฝีมือท้องถิ่นเป็นผู้นำ เราวางพิมพ์เขียวเพื่ออนาคตที่สร้างสรรค์ให้” ริอาดินี-เฟลช กล่าว นอกจากจะวางแนวทางให้ชุมชน สุขขา จิตตาก็เรียนรู้จากชุมชนเช่นกัน
ในบทสัมภาษณ์กับ South China Morning Post เราได้รู้จักกับหญิงวัย 65 ปีชื่อ อีบู กัสมีนี ผู้จุดประกายแนวคิด “แฟชั่นหมุนเวียน” และการใช้เกษตรกรรมฟื้นฟูให้สุขขา จิตตา ซึ่เป็นแนวคิดง่าย ๆ ที่ทำกันมารุ่นสู่รุ่นในชุมชนนั้น คือการปลูกฝ้ายคู่ไปกับพืชอื่น
นี่คือการปลูกในแปลงผสมที่กล่าวไปข้างต้น ไร่ฝ้ายไม่จำเป็นต้องมีแค่ฝ้าย อีบู กัสมีนี เสนอให้ปลูกควบคู่ไปกับพืชอื่นที่เกื้อหนุนกัน เช่น พริก ข้าวโพด และถั่วเขียว ซึ่งช่วยลดความจำเป็นในการใช้สารกำจัดวัชพืชในปริมาณมาก และยังช่วยปกป้องต้นฝ้ายตามธรรมชาติ
นอกจากลดการใช้สารเคมี ที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม ผลผลิตที่มากขึ้นถึง 6 เท่า จากการเก็บเกี่ยวก่อนหน้ บทเรียนจากชุมชนนี้เอง ทำให้สุขขา จิตตาสามารถเลี้ยงดูคนในห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ระดับล่างสุดได้พอเพียงและมั่นคง
สุขขา จิตตา มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย เสื้อผ้าทั้งสำหรับผู้หญิงและผู้ชาย ผสมผสานความเป็นสมัยใหม่ และงานฝีมือท้องถิ่น มักเป็นสีเอิร์ธโทน มีลายปักประดับเพิ่มความเป็นเอกลักษณ์ สามารถเลือกเนื้อผ้าได้ตั้งแต่ฝ้าย ลินิน ผ้าไหม หรือเจาะจงฝ้ายจากการเกษตรฟื้นฟู หรือเส้นใยเซลลูโลสสังเคราะห์ก็ได้
และเพราะสุขขา จิตตาร่วมมือกับชุมชนหลากหลาย มีหัตกรรมผ้าทอมือหลายประเภทให้เลือก ตั้งแต่มัดหมี่ บาติกเขียนลายด้วยมือ ผ้าแจ็คการ์ด ผ้าทอจากกี่เอวกะเหรี่ยง และย้อมสีธรรมชาติ หรือผ้าปักลายมือ
นอกจากนี้บนเว็บไซต์ ยังมีแนวทางการดูแลผ้าแต่ละชนิดจากสุขขา จิตตา เพื่อให้ผ้าแต่ละชิ้นที่ซื้อไปมีอายุงานนาน ลดการบริโภคเกินจำเป็น ซึ่งจะเป็นผลร้ายต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
“ฉันเป็นคนเชี่ยวชาญแฟชั่นน้อยที่สุดที่คุณเคยพบเลยค่ะ” ริอาดินี-เฟลชพูดในบทสัมภาษณ์กับ Mongbay “แต่ฉันเรียนรู้เอาจากผู้หญิงจากชุมชนต่าง ๆ ได้ว่า แม้ในเวลามืดมิด เราก็เลือกจุดประกายแสงสว่างได้”
เป้าหมายของเธอคือการฟื้นฟูผืนดิน 100,000 ตารางกิโลเมตร และสร้างวิถีชีวิตที่ยั่งยืนให้ผู้หญิง 10,000 คนภายในปี 2593 และเน้นย้ำว่า มาตราวัดความสำเร็จไม่ใช่กำไร แต่คือศักดิ์ศรีต่างหาก