ทุกสุดสัปดาห์ นักท่องเที่ยวหลายวัยตบเท้ากันเข้ามาที่ ‘ชุมชนคลองสาม จ.ปทุมธานี’ ผู้ใหญ่วัย 50 ขึ้นไปเดินตามร่องสวน ชมพืชผลงาม ๆ พร้อมกับเรียนรู้วิถีเกษตรอินทรีย์ ปลูกผักผลไม้ปลอดสารพิษได้เองโดยไม่ต้องพึ่งเคมี วิทยากรก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณป้าคุณลุง ไปจนถึงคุณตาคุณยายวัย 70 ปี ที่พูดจาฉะฉาน ไม่เคอะเขินเมื่อมีแขกมาเยือนเป็นกลุ่มใหญ่
ขณะที่เด็ก ๆ วัยเจนซีและหนุ่มสาววัยทำงานกำลังพักผ่อนฮีลใจ นั่งจิบกาแฟและทำงานฝีมือเบา ๆ แต่ดูเพลิดเพลินอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะการทำเดคูพาจ ลงลวดลายน่ารักบนตะกร้าสาน-หมวกสาน และทำพัดติตตัวจากไม้ไผ่ในชุมชน ไปจนถึงการทำผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติ นอกจากจะเป็นการฝึกทำงานประดิษฐ์แบบไทย ๆ แล้ว ยังได้ของฝากกลับบ้านที่มีชิ้นเดียวในโลก หากเหนื่อยเมื่อไรก็พักกินขนมโฮมเมดที่ทำจากกล้วยปลูกเอง หรือเดินเล่นซื้อผักผลไม้ปลอดสารติดไม้ติดมือกลับบ้าน
บรรยากาศแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ แต่มีเบื้องหลังของผู้คนจากหลายฝ่าย ที่ทั้งทำงานหนักอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจ Spotlight ชวนอ่านแนวคิด ‘ผู้นำชุมชนหญิงแกร่ง’ อย่างคุณรุ่งนภา แก้วธรรม หรือที่หลายคนเรียกติดปากกันว่า “กำนันนก” ที่ทำงานใกล้ชิดและร่วมมือกับสถาบันการศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และการจัดการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยกรุงเทพ พวกเขาทำอย่างไรจึงสามารถ ‘พลิกโฉมไร่นาไม่กี่แปลง สู่ชุมชนแข็งแรง น่าเที่ยว’
คุณรุ่งนภา แก้วธรรม หรือ กำนันนก ประธานศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง หมู่ที่ 16 ตำบลคลองสาน อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เล่าให้ฟังว่า หากย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีก่อน (พ.ศ. 2561) ตำบลคลองสานเป็นพื้นที่ไร่นาเท่านั้น แต่ละคนมีที่ดินเป็นของตนเอง ซึ่งอยู่ติดขอบชุมชนเมืองที่กำลังขยายตัวเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความคิดริเริ่มที่จะเปลี่ยนชุมชนเป็นแหล่งท่องเที่ยวนั้นดูเป็นไปได้ยาก เพราะมองว่าไม่มีทรัพยากรทางธรรมชาติใหญ่ ๆ เช่น น้ำตก ภูเขา ที่จะดึงดูดผู้คนมาเที่ยว
แต่ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวกลับต่างออกไป โดยอาจารย์อัจฉรา ศรีลาชัย อาจารย์ผู้สอนวิชา Community Based Tourism ภาควิชาการจัดการท่องเที่ยว คณะมนุษยศาสตร์และการจัดการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กลับมองเห็นถึงขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่แห่งนี้
“จำวันแรกที่พวกเรา (อาจารย์และนักศึกษา) ลงพื้นที่ไปที่ชุมชนได้เลยค่ะ เพราะกำนันนกบอกเราว่าในชุมชนเหลือที่ดินทำการเกษตรน้อยลงทุกที เพราะตั้งอยู่ใกล้กับเมืองที่ขยายตัว บวกกับเราได้เห็นการทำเกษตรอินทรีย์ เห็นไม้ไผ่ มะม่วง เห็นความเขียว ความร่มรื่น และมีการทำขนมตาลในชุมชน เราจึงได้ไอเดียในการทำทัวร์แบบ One-day trip ซึ่งจะทำให้ชุมชนเดินต่อไปได้ค่ะ” อาจารย์อัจฉรากล่าว
อาจารย์อัจฉราเปิดเผยว่า ขั้นตอนในการสร้างชุมชนน่าเที่ยว อันดับแรกและอันดับที่สำคัญที่สุดจะต้องมองหา “สิ่งดี ๆ ในชุมชน” ที่มีอยู่แล้ว การค้นหาขุมทรัพย์ของชุมชน ต้องหาให้เจอว่าพื้นที่ วัตถุดิบ อะไรบ้างที่เป็นอัตลักษณ์ และจะจับสิ่งที่มีอยู่เหล่านี้ชูขึ้นมาให้โดดเด่นได้อย่างไร
เมื่อในฝั่งชุมชนตอบรับและนำคำแนะนำมาปฏิบัติจริง ผลลัพธ์ที่ได้กลับมานั้น กลายเป็น “ความยั่งยืนในชุมชน” ซึ่งสะท้อนผ่านปัจจัยสำคัญด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะ “ด้านรายได้ในชุมชน” เมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ รายได้ของผู้คนในชุมชนก็มีความสม่ำเสมอตามมาเช่นกัน ผักผลไม้ที่ปลูกจากในสวนของแต่ละบ้าน กลายมาเป็นสินค้าล้ำค่าที่วางเรียงรายให้คนนอกชุมชนได้จับจ่าย บางบ้านแปรรูปผลไม้เป็นขนมแสนอร่อย สร้างมูลค่าเพิ่ม ยังไม่นับรวมถึงรายได้จากการทำเวิร์คชอปสนุก ๆ ให้กับนักท่องเที่ยว
อีกประการหนึ่งคือ “ด้านการพัฒนาคนในชุมชน” เหนือกว่ารายได้ที่เข้ากระเป๋าคนในชุมชน คือ Soft Skills ที่ชาวบ้านได้รับ จากคนอยู่บ้านที่เคอะเขินนักท่องเที่ยว กลายเป็นวิทยากรชุมชนที่พูดจาฉะฉาน รับแขกกลุ่มเล็ก-กลุ่มใหญ่ได้ไม่หวั่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้กำนันนกรู้สึกภาคภูมิใจ และขณะเดียวกันก็วางใจให้ชาวบ้านดูแลชุมชนกันเองได้ ในวันที่กำนันนกอาจติดงานราชการ และไม่สะดวกต้อนรับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ ชาวบ้านยังสามารถต่อยอดริเริ่มกิจกรรมอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วยไอเดีย
อาจารย์อัจฉรากล่าวว่า แม้องค์ประกอบสำคัญคือการสนับสนุนของมหาวิทยาลัยกรุงเทพและโครงการ Education Institute Support Activity จากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่ส่งเสริมกิจกรรมของนักศึกษาในระดับอุดมศึกษา และส่งผลดีไปยังชุมชนเมื่อโครงการเดินหน้าสำเร็จ “แต่วันใดที่ผู้สนับสนุนปล่อยมือออกจากชุมชน แล้วเขาอยู่กันเองได้ นั่นคือความยั่งยืนที่แท้จริง”
นอกจากนี้ ผลลัพธ์ดังกล่าวมีผู้ที่ได้รับประโยชน์ไปด้วยก็คือ “กลุ่มนักศึกษา” จากกระบวนการเรียนรู้นอกห้องเรียน โดยน้องนะโม นายสรศักดิ์ กลับวิลา นักศึกษาวิชา Community Based Tourism มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าวว่า การได้ลงพื้นที่จริงทำให้เขาและเพื่อน ๆ ได้รับประสบการณ์อันล้ำค่า เพราะการเรียนเกี่ยวกับ การท่องเที่ยวโดยชุมชน จะเรียนแต่ทฤษฎีในห้องเรียนไม่ได้
ดร. ศิวศักดิ์ ปานสุขุม หัวหน้าภาควิชาการจัดการท่องเที่ยว คณะมนุษยศาสตร์และการจัดการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยกรุงเทพ อธิบายว่า สิ่งสำคัญของ “การท่องเที่ยวโดยชุมชน” Community based tourism - CBT คือทุกคนในชุมชนต้องมีส่วนร่วม และต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม
ทั้งนี้ ประเทศไทยนับเป็นประเทศตัวอย่างหรือประเทศต้นแบบของอาเซียนในด้านนี้ เช่น หมู่บ้านคีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มีธารน้ำไหลผ่านและขึ้นชื่อเรื่องเป็นพื้นที่อากาศบริสุทธิ์ ซึ่งในชุมชนเพิ่มกิจกรรมที่น่าสนใจเข้าไป นั่นคือการเวิร์คชอปทำสบู่ หรือทัวร์เก็บผลผลิตทางการเกษตรของชุมชนในยามเช้า เป็นต้น ขณะที่ประเทศต้นแบบอื่น ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่นที่ดึงความเป็นท้องถิ่นมาดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ดี รวมถึงประเทศมาเลเซียที่กำลังเดินหน้าเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวโดยชุมชนเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ดร. ศิวศักดิ์มองว่า CBT สอดคล้องกับเทรนด์การท่องเที่ยวในปัจจุบัน นับว่าตอบโจทย์มาก เพราะนักท่องเที่ยวสมัยนี้เฟ้นหาสถานที่ที่แตกต่างและเป็นตัวของตัวเอง เน้นความเป็นเอกลักษณ์มากกว่าที่จะเที่ยวแบบดั้งเดิม ตามแนว Mass tourism ที่ผู้คนมักเดินทางไปที่เดียวกัน จึงเป็นเรื่องดีที่ปัจจุบัน ผู้คนค้นหาอะไรใหม่ ๆ สถานที่ที่คนยังไม่เคยไป บางชุมชนเน้นวิถีชีวิต บางชุมชนเน้นอาหาร ทำให้นักท่องเที่ยวอยากเข้าไปสัมผัสประสบการณ์ สะท้อน nitch market ที่เล็กแต่สะเทือนการท่องเที่ยวเชิงมหภาค
สำหรับปัจจัยที่ทำให้การท่องเที่ยวโดยชุมชนสำเร็จ มีแนวทางคือต้องคำนึกถึงสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม ตามที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว และปัจจัยที่สำคัญที่สุด คือ “ความร่วมมือ” ซึ่งผู้นำชุมชนมีบทบาทสำคัญ ในการทำให้สำเร็จ ขณะเดียวกัน หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการท่องเที่ยวต้องเข้ามาส่งเสริมในทุกกระบวนการ เป็นการทำงานอีกครึ่งทางเพื่อให้ชุมชนได้โดดเด่นขึ้นมา