Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
‘TCAC 2025’ ระดมสมอง จุดประกายความคิด ร่วมพลิกวิกฤตโลกเดือด
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

‘TCAC 2025’ ระดมสมอง จุดประกายความคิด ร่วมพลิกวิกฤตโลกเดือด

29 ก.ย. 68
16:43 น.
แชร์

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จัดการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย (Thailand Climate Action Conference: TCAC 2025) ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 ในวันที่ 29 - 30 กันยายน 2568 ภายในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 

การประชุม TCAC 2025 จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “จุดประกายความคิด ร่วมพลิกวิกฤตโลกเดือด Inspiring Climate Solutions For All” เปิดการประชุมในวันที่ 29 กันยายน โดย สุชาติ ชมกลิ่นองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมี ฐานปน สิริวัฒนภักดี ประธานอำนวยการจัดงาน SX2025 และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับและร่วมพิธีเปิดการประชุม

นอกจากนั้น พิธีเปิดการประชุม TCAC 2025 ยังได้รับเกียรติจาก บัน คี มูน ประธานสถาบันเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (GGGI) และ อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ ที่ส่งสารมาร่วมพิธีเปิดการประชุมด้วย 

รองนายกฯสุชาติยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญสิ่งแวดล้อม 

สุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อนุทิน ชาญวีรกูล ให้ความสำคัญกับการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง ตั้งแต่นโยบายจนถึงการขับเคลื่อนร่วมกันทุกภาคส่วน เมื่อเช้าวันนี้ (29 กันยายน) รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งในนโยบายของรัฐบาลได้บรรจุเรื่องสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไว้ในข้อที่ 12 และ 13 

“วันนี้เป็นนิมิตหมายที่ดีที่เราทุกคนและสมาชิกทั่วโลกที่เราได้ทำข้อตกลงกันไว้จะได้เห็นความเป็นรูปธรรม ความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้โดยเป็นนโยบายของรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะมีการพูดคุยเฉพาะหน่วยงานระหว่างกระทรวงกับกระทรวง หรือกระทรวงกับเอกชน แต่วันนี้เป็นภาพของรัฐบาล ซึ่งผู้นำรัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องนี้มาก โดยบรรจุในนโยบายของรัฐบาลรัฐบาล” 

“ผมในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รับมอบหมายโดยทำงานร่วมกับปลัดกระทรวงฯ อธิบดีกรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และภาคเอกชน ซึ่งต้องขอความร่วมมือภาคเอกชนว่าเรามีความจำเป็นจริงๆ ที่ต้องดำเนินการในเรื่องนี้ และขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดหลายจังหวัดที่อาจจะต้องเข้าไปดูอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ เนื่องจากมีอุณหภูมิที่สูง 

“การประชุมวันนี้เป็นเวทีที่สำคัญมากๆ ที่เราทุกคนจะแสดงศักยภาพและความสามัคคีเพื่อกำหนดอนาคตของประเทศร่วมกับประชากรของโลกภายใต้แนวคิด ‘จุดประกายแนวคิด ร่วมพลิกวิกฤตโรคเดือด’ ที่ทุกคนต้องทำเพื่อโลกนี้ด้วยกันทุกคน เพื่อส่งต่อโลกที่ดีกว่าให้แก่ลูกหลานของเราในอนาคต” 

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกล่าวอีกว่า การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมต้องให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นผู้ขับเคลื่อนการดำเนินการต่อไป  

“เราทุกคนไม่สามารถทำสำเร็จลุล่วงได้หมด ด้วยสถานการณ์ที่เราต้องใช้เวลาแก้ปัญหา แต่เราวางโครงสร้างและรากฐานให้น้องๆ เยาวชนรุ่นใหม่ได้ งานนี้มีเยาวชนมาร่วมกับเราด้วย ซึ่งเราก็ได้คุยกันว่า เราควรให้ความสำคัญกับน้องๆ เยาวชนคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาสานต่อจากพวกเรา ให้มีส่วนเข้ามารับรู้และสานงานต่อจากเราด้วย นี่คือเป้าหมายของพวกเรา 

“ในส่วนความท้าทายที่เราเผชิญ ตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) กำหนดเป้าหมายควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส แต่ปัจจุบัน อุณหภูมิโลกได้สูงขึ้น 1.75 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาคลื่นความร้อนสูง สถานการณ์น้ำท่วมในฤดูฝน ปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงที่กระทบชีวิตทรัพย์สินและความมั่นคงของประเทศมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จึงต้องเร่งขับเคลื่อนแผนการปรับตัวให้เป็นรูปธรรม” 

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงความมุ่งมั่นของคนไทยในการลดก๊าซเรือนกระจกว่า แม้ประเทศไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 1% ของโลก แต่ก็ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพพูมิอากาศ รัฐบาลจึงกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 และในปี 2025 นี้ ไทยจะส่งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยภายใต้การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC 3.0) เป็นครั้งแรก โดยวางแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 5 ภาคส่วน คือ พลังงาน การขนส่ง อุตสาหกรรม การจัดการของเสีย และการเกษตร ให้ได้ 40% ภายในปี 2035 

“เครื่องมือสำคัญที่ต้องระลึกไว้ คือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯจะต้องผลักดันร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการดำเนินงานผ่าน 4 ด้าน คือ กลไกด้านนโยบาย กลไกด้านการลดก๊าซเรือนกระจก กลไกด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และกลไกทางการเงิน” 

นอกจากนั้น รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการทรวงทรัพยากรธรรรมชาติฯกล่าวถึงโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ว่า ประเทศไทยมุ่งพัฒนาเป็นศูนย์กลางตลาดคาร์บอนเครดิตระดับอาเซียนอย่างเป็นระบบ มีรูปธรรม และครบวงจร สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ โอกาสการลงทุน พัฒนารูปแบบการเงินแบบใหม่ ภายใต้นโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 

“การส่งเสริมคนรุ่นใหม่เป็นนโยบายของรัฐบาล ผมมุ่งหวังให้คนรุ่นใหม่-เยาวชน เป็นกำลังสำคัญร่วมกับคนรุ่นใหญ่ สนับสนุนโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในวงกว้าง โดยเฉพาะการรับฟังเสียงสะท้อนของเด็กและเยาวชนไทยให้ได้ร่วมกันออกแบบโลกแบบที่เยาวชนอยากอยู่ 

“ผมอยากฝากว่า เราทุกคนต้องให้ความสำคัญกับเยาวชน เราต้องถ่ายทอดให้กับเยาวชน การเปลี่ยนแปลงของโลกสะสมมายาวนาน แต่ยังดีที่มีข้อตกลงปารีสที่ทำให้ประเทศสมาชิกตื่นตัว เราเชื่อว่าสำหรับประเทศไทย ถ้ารัฐบาลให้ความสำคัญและหยิบมาเป็นนโยบายที่จับต้องได้และเป็นรูปธรรม สิ่งต่างๆ เหล่านี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯเป็นกระทรวงหลักที่จะต้องช่วยกัน ระยะเวลาที่ผมรับตำแหน่งอาจจะไม่กี่เดือน แต่ข้าราชการได้ทำงานไว้เยอะแล้ว ผมแค่เข้าทำงานเชื่อมต่อระหว่างรัฐบาลกับกระทรวง และเยาวชน และและเอกชน ที่สำคัญคือสมาชิกทั่วโลกจะต้องสามัคคีกัน เราไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องใหญ่ๆ ได้ด้วยมือเราเพียงสองมือหรือคนกลุ่มเล็กๆ 

“ผมในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอยืนยันว่าจะเร่งรัดการประชุมเพื่อให้กฎหมายผ่านเร็วที่สุด และมุ่งหวังตั้งใจส่งเสริมการดำเนินงานต่างๆ ของประเทศและของเยาวชน กระทรวงฯขอเชิญชวนทุกท่านในที่นี้และสมาชิกทั่วโลก ประชากรโลกทั้งหมด นำแรงบันดาลใจที่ได้รับในวันนี้มาร่วมกันสร้างอนาคต เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส ให้เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมเดินไปด้วยกันได้ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เรามาร่วมกันสร้างอนาคต สร้างโลกที่น่าอยู่ของพวกเราทุกคนในวันนี้ และส่งต่อให้ลูกหลานของเราในวันข้างหน้าไปด้วยกัน” สุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกล่าว

 บัน คี มูน ชื่นชมความพยายามของไทย 

บัน คี มูน ประธานสถาบันเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (GGGI) คนปัจจุบัน และอดีตเลขาธิการสหประชาชาติคนที่ 8 ยังส่งสารผ่านวิดีโอเปิดงานว่า “ผมขอแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อรัฐบาลและประชาชนชาวไทย  ต่อความมุ่งมั่นอันเป็นแบบอย่างในการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศ ในห้วงเวลาที่ผมดำรงตำแหน่งเลขาธิการคนที่ 8 แห่งสหประชาติ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เห็นโลกทั้งใบมาร่วมมือกันในปี 2015 เพื่อบรรลุความตกลงปารีสด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ [...] 

“ผมขอชื่นชมประเทศไทยที่ได้สะท้อนวิสัยทัศน์อันมุ่งมั่นในเจตจำนงร่วมกัน และการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นเอกภาพ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนกว่า คำประกาศของประเทศไทยที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2065 เป็นการแสดงภาวะผู้นำที่ควรยกย่อง เป็นวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญและเปี่ยมด้วยความทะเยอทะยานสำหรับประเทศเศรษฐกิจที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และยังเป็นสัญญาณอันทรงพลังต่อประชาคมโลก ว่าความมั่งคั่งและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม มิได้เป็นอุดมการณ์ที่ขัดแย้งกัน หากแต่เกื้อหนุนซึ่งกันและกันอย่างแยกไม่ออก เป้าหมายอันทะเยอทะยานของประเทศไทย โดยเฉพาะการกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบปีฐาน ตามที่ระบุไว้ในเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด รวมถึงแผนการลงทุนใน NDC 3.0 สมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับคำชื่นชม…” 

TCAC 2025 รวมพลังสร้างความร่วมมือเชิงรูปธรรม

ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวรายงานวัตุประสงค์การจัดงาน TCAC 2025 ว่า การประชุม TCAC 2025 ดำเนินต่อเนื่องมาเป็นครั้งที่ 4 ในปีนี้มีผู้เข้าร่วมจากทุกภาคส่วนกว่า 2,000 คน ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ องค์กรระหว่างประเทศ คณะทูต ภาคประชาชน และเยาวชน 

TCAC 2025 กำหนดรูปแบบการเสวนาครอบคลุมทั้งด้านนโยบายภาครัฐ นวัตกรรม และการวิจัย การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ ซึ่งได้รับเกียรติจากบุคคลสำคัญในทุกภาคส่วนมาร่วมแลกเปลี่ยนและสร้างสรรค์ความร่วมมือในทุกมิติ อีกทั้ง ยังมีการจัดนิทรรศการเพื่อนำเสนอการดำเนินงานด้านการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมไปถึงการจัด Climate Clinic เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 

นอกจากนี้ ปีนี้เป็นปีแรกที่กระทรวงฯได้สร้างความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและประชาชนโดยตรง ด้วยการสนับสนุนงบประมาณจับคู่ขับเคลื่อนโครงการเครือข่ายชุมชน 12 พื้นที่ พื้นที่ละ 2 แสนบาท ซึ่งจะทำให้เกิดผลการดำเนินงานในระดับพื้นที่ตลอดระยะเวลา 9 เดือนนับจากการประชุมครั้งนี้ และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่จะส่งต่อได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยหลังจากการประชุม TCAC 2025 ประเทศไทยจะนำผลลัพธ์ของการประชุมนี้รวมถึงการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมไปประกาศในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 หรือ COP 30 ที่บราซิลในเดือนพฤศจิกายนนี้ 

“การประชุม TCAC 2025 เวทีสำคัญที่รวมพลังจากทุกภาคส่วน เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ผลักดันนวัตกรรม และสร้างความร่วมมือเชิงรูปธรรมในการแก้ไขปัญหาโลกร้อน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ สร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจกับสิ่งแวดล้อม และก้าวไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน  ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน” ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกล่าว 

พลังคนรุ่นใหม่กับอนาคตโลก

บนเวทีเสวนา ‘From Vision to Action’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ TCAC 2025 กลย์ธัช คาโต้ซานะ ในฐานะผู้แทนเยาวชนที่เข้าร่วม COP29 และเยาวชนโครงการ Thailand Youth Climate Action บรรยายในหัวข้อ ‘Empowerment of Youth: พลังเยาวชน เปลี่ยนเรา เปลี่ยนโลก’ 

กลย์ธัชแบ่งปันประสบการณ์การทำงานในฐานวิศวกรข้อมูลดาวเทียม หนึ่งในโครงการและกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมที่เขาเข้าร่วม กลย์ธัชเล่าถึงโครงการร่วมกับคณะกรรมมาธิการแม่โขง-อาเซียน พัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ผ่านดาวเทียมสังเกตการณ์โลกเพื่อเตือนภัยล่วงหน้า ที่เขาทำร่วมกับนักพัฒนาในภูมิภาคอาเซียน 10 ประเทศ

“เห็นได้ชัดครับในเวลานั้นว่าน้ำผิดปกติ ฝนตกแต่น้ำในขื่อนไม่เพิ่ม ประตูน้ำไม่เพิ่ม ในขณะที่มวลน้ำฝนสะสมขึ้นเรื่อยๆ ในภูมิภาคแม่น้ำโขงตอนบน คำถามเลยเกิดขึ้นว่า มันไปอยู่ที่ไหน?” กลย์ธัชกล่าว และตอบคำถามนั้นว่า “มันไปอยู่ที่เขื่อนจีนครับ”

กลย์ธัชกล่าวถึงกรณีน้ำในพื้นทีลุ่มแมน้ำโขง เป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงทางธรมชาติที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ ปลายน้ำที่แล้งและผันผวน เพราะการสร้างเขื่อนหลายร้อยแห่งที่ต้นแม่น้ำ ทำให้ทรัพยากรธรมชาติอย่างน้ำที่ควรจะเป็นของฟรี เป็นสิ่งที่คนปลายน้ำต้องรอคอย

การสังเกตการณ์ดาวเทียมเป็นสิ่งที่กลย์ธัชในฐานะเยาวชนทำเพื่อโลกในอนาคตที่เขาต้องอาศัยอยู่ เขาตอกย้ำว่าแม้โครงการพัฒนาเทคโนโลยีลุ่มแม่น้ำโขงจบลงไปแล้ว แต่ภารกิจของเขายังไม่จบ เพราะเขาและทีมพัฒนาเทคโนโลยีนี้ต่อเพื่อใช้ในการพยากรณ์อากาศล่วงหน้า ใช้ในด้านสิ่งแวดล้แม อุตสาหกรรมพลังงาน และเพื่ออนาคตที่ดีของโลก

“ตัวผมคนเดียวคงไม่สามารถจะเปลี่ยนโลกได้ และนั่นคือเรื่องจริง แต่วันนี้เรามีเด็กอีกเป็นพันๆ คน อีกเป็นล้านๆ คน ที่กำลังสานต่อเรื่องราว [...] หน้าที่ของเราเยาวชนคนรุ่นใหม่ พวกคุณเป็นจุดเล็ก ๆ จุดหนึ่งที่กำลังแบ่งปันเรื่องราวนี้สู่อนาคต”

เสียงจากคนในพื้นที่ประสบภัย ถึงผู้มีอำนาจ

เพราะคนที่ได้รับผลกระทบจากภัยโลกรวนมาก มักจะเป็นคนจน กลุ่มเปราะบาง TCAC จึงฟังเสียงจากคนในพื้นที่ เพื่อให้ผู้มีอำนาจได้นำเอาความจริงจากคนกลุ่มเล็กไปพิจารณาในกระบวนการออกโยบาย โดยเชิญ กัญจน์ ทัตติยกุล จากเครือข่ายเพื่อนตะวันออก บรรยายในหัวข้อ ‘เสียงจากคนในพื้นที่สู่ผู้มรอำนาจตัดสินใจ’ บนเวทีเสวนา ‘From Vision to Action’

กัญจน์ตอกย้ำความรุนแรงของวิกฤตโลกรวนที่มีมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยเขากล่าวว่า เพียงทศวรรษที่ผ่านมา อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นจาก 1 องศาเซลเซียส เป็น 1.5 องศาเซียลเซียสจากค่ามาตราฐานก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม

เขาชี้ว่า ผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นกระทบอย่างชัดต่อประชาชนอย่างในประเทศไทย อย่างปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในจังหวัดนราธิวาสเมื่อปี 2023 ที่ฝนตกสะสมใน 24 ชั่วโมงมากถึง 631 มิลลิเมตร หรือเทียบเท่าฝนที่ตกในภาคกลางของประเทศไทยราวครึ่งปี เขายังยกตัวอย่างภัยธรรมชาติอื่นๆ เช่น ไฟป่าในทวีปอมริกา และไต้ฝุ่นรากาซาที่ถล่มเอเชียตะวันออกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

นอกจากนั้น กัญจน์ยังกล่าวถึงการลดลงของสิ่งมีชีวิตในโลกที่หายไปมากถึง 73% ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา และสัตว์ที่กัญน์ยกตัวอย่างคือ สมัน สัตว์ลักษณะคล้ายกวาง มีเขาสวยงาม ที่เคยหากินในบริเวณที่ราบภาคกลาง ก่อนจะสูญพันธุ์เพราะการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน และการกระทำของมุษย์

“ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์หลายคนบอกว่าโลกกำลังเงียบลง ธรรมชาติกลังสูญเสียเสียงลง และมันเป็นสัญญาณที่น่ากังวลมาก” กัญจน์กล่าว ก่อนตอกย้ำว่า หากการกระทำของมนุษย์เป็นไปในแนวทางเดิมไม่เปลี่ยนแปลง อุณหภูมิของโลกจะเพิ่มขึ้ 1.5 องศาเซลเซียสถาวรในเดือนพฤษภาคม 2029 (พ.ศ. 2572) หรืออีก 4 ปีเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แม้ทุกคนจะได้รับผลกระทบจากโลกรวนอย่างทั่วถึง ซ้ำร้ายคนจนมีแนวโน้มอย่างมากที่จะได้รับผลกระทบมากกว่า แต่ต้นเหตุของโลกรวนกลับมาจากคนรวยและผู้มีอำนาจเสียส่วนใหญ่

“หากไปดูว่าคนใดบ้างที่ก่อก๊าซเรือนกระจก เราจะเห็นว่ามหาเศรษฐี 10 เปอร์เซ็นแรกของโลกทำให้เกิดก๊าวเรือนกระจก 50 เปอร์เซ็นต์ สิ่งนี้บอกอะไร? บอกว่า ความรับผิดชอบแตกต่างกันไป คนก่อมากก็ต้องรับผิดชอบมากเพื่อการอยู่รอดของพวกเรา” กัญจน์กล่าว

ตัวแทนเครือข่ายเพื่อนตะวันออกพูดถึงแนวทางออกจากวิกฤตโลกรวนคือ การลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ปีละ 9 ปอร์เซ็นต์ ซึ่งทำได้ผ่านการเลิกใช้ฟอสซิล การลดขยะให้เหลือศูนย์ เร่งปรับแนวทางการทำการเกษตร ใช้วิธีการเดินทางแบบคาร์บอนต่ำ และสร้างพื้นที่ดักจับคาร์บอน อย่างพื้นที่ป่า และพื้นที่ชุ่มน้ำ ก่อนจะตอกย้ำความสำคัญของการลงมือทำทันที

นางงามช่วยโลกได้ด้วย ‘พลังของการสื่อสาร’

นอกจากนี้ เวทีเสวนา ‘From Vision to Action’ ใน TCAC 2025 ยังมีตัวแทนจากภาคบันเทิงอย่าง โชตินภา แก้วจรูญ หรือ ‘น้องหมูแฮม’ นางสาวไทย ประจำปี 2568 และ Miss Climate Change 2025 ที่มาบรรยายในหัวข้อ ‘พลังของการสื่อสาร เพื่อ Climate Change’ ซึ่งหมูแฮมกล่าวว่า เธอรู้สึกดีใจและเป็นเกียรติที่ได้เป็นตัวแทนมาพูดคุยกับคนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกัน 

“หมูแฮมมางานนี้ในฐานะผู้หญิงยุคใหม่คนหนึ่ง และในนามของนางสาวไทย หมูแฮมคิดว่าในตอนนี้เสียงและแสงที่หมูแฮมมีอยู่มันจะสามารถเป็นพลังให้กับใครหลายๆ คนได้ ทุกๆ ครั้งที่หมูแฮมมาพูดเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งแวดล้อม หมูแฮมไม่ได้พูดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ที่ผ่านมาหมูแฮมลงมือทำ และเริ่มต้นจากตัวเองในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพื่ออยากเป็นแกนนำให้หลายคนเห็นว่าการกระทำของเราสามารถส่งผลต่อเขาได้อย่างไรบ้าง”

เธอกล่าวว่า จุดเริ่มต้นที่ทำใหเธอย้อนดูการกระทำของตัวเองมากยิ่งขึ้นคือ การฟังพอดแคสต์ที่มีประโยคจุดประกายว่า “อย่าลืมว่าเราทุกคนไม่มีโลกใบที่ 2 ให้ได้อาศัยอยู่”  

“มันอาจจะเป็นประโยคสั้นๆ เป็นคำธรรมดาๆ แต่มันทัชใจมาก ทำให้เราได้มาย้อนนึกถึงการกระทำของตัวเองที่ผ่านมาว่า เราเป็นพลเมืองที่เคยละเลยต่อสิ่งแวดล้อมไปค่อนข้างเยอะมาก ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง และภัยพิบัติที่เกิดขึ้น มันสร้างความเสียหายต่อคนทุกคนค่อนข้างมาก ทำให้หมูแฮมเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างจริงจัง เริ่มจากการกระทำเล็กๆ น้อย ๆ ของเราในชีวิตประจำวัน เมื่อก่อนหมูแฮมจะเป็นคนที่อาจจะใช้แก้วพลาสติกเพราะว่ามันสะดวกสบาย ก็จะเริ่มกลับมาใช้กระบอกน้ำเพราะว่ามันช่วยลดและไม่ทำลายทรัพยากร”

เธอกล่าวว่า ในฐานะนางงาม ที่ต้องทำงานเกี่ยวกับแฟชั่นค่อนข้างมาก ต้องแต่งตัวสวยตลอดเวลา เธอได้ศึกษาเรื่องฟาสต์แฟชั่นมากขึ้น และเมื่อค้นพบว่ามันสร้างความเสียหายจำนวนมาก เกิดขยะที่ย่อยสลายยาก เธอจึงเริ่มค้นหาเสื้อผ้าเก่าๆ มามิกซ์แอนด์แมตช์กัน

“ในฐานะนางงามอยากให้การกระทำของเราแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่า มันไม่จำเป็นว่าเราจะต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ หรืออัปเดตเทรนด์ตลอดเวลา เราสามารถดัดแปลงจากสิ่งที่เรามีอยู่ เรื่องนี้มันเป็นการช่วยโลกอย่างหนึ่งที่เราสามารถทำได้” 

ภาคเอกชนจะช่วยดูแลโลกได้อย่างไร

ดร.ชนะ ภูมี ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ - การบริหารความยั่งยืน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG ร่วมบรรยายในหัวข้อ ‘ภาคเอกชนกับการมีส่วนร่วมดูแลทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน’ บนเวทีเสวนา ‘From Vision to Action’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ TCAC 2025 ว่า การดูแลทรัพยากรธรรมชาติของ SCG มีการกำหนดแผนการชัดเจน ซึ่งไม่ได้มองว่าจะกำหนดของแผนงานของบริษัทเพียงลำพัง แต่มีการเชื่อมโยงกับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยภายใต้การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) ของประเทศ 

“ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 27 (COP 27) เมื่อปี 2022 ผมก็ไปร่วมมาด้วย เราพยามจะเชื่อมว่าทำอย่างไรให้บริษัทไม่เป็นภาระของประเทศและสามารถทำได้ดีกว่าที่ประเทศคาดหวัง ในขณะเดียวกันก็มีความชัดเจนเรื่องการนำแผนมาใช้” 

แผนการดำเนินงานที่จะไปสู่เป้าหมายที่ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งบริษัทและประเทศ บนธีม ‘Inclusive Green Growth’ ของ SCG เริ่มจาก 3 เรื่อง คือ บริษัท ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีการกำหนดเป้าหมาย การลงทุนกับเทคโนโลยีชัดเจน และมีการติดตามความพร้อมของเทคโนโลยีในระดับขยายผลมากน้อยเพียงใด มีการทดลองในพื้นที่จริง มีการทำงานร่วมกับภาครัฐ ชุมชน เพื่อหาแนวทางว่าจะดำเนินการให้สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทได้อย่างไร และที่สำคัญที่สุด ต้องมีการเชื่อมโยงกับเครือข่ายระดับโลก ทำงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อให้สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยสามารถสื่อสารและสะท้อนกับระดับโลกได้  

ดร.ชนะบอกว่า หลักการทำงานในฐานะที่ดูแลเรื่องการบริหารความยั่งยืนของ SCG มองว่าการจะทำงานเหล่านี้ได้คงไม่สามารถทำแค่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง หรือทำงานแยกทีม แต่ต้องดูว่าสิ่งที่บริษัทจะทำนั้นจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน ประเทศ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้อย่างไร “โดยต้องมีมายด์เซตที่เป็นบวก มองว่าอะไรที่ทำได้ก็พยายามช่วยทำก่อน เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของปัญหา และต้องมีกิจกรรมที่มีแผนงานชัดเจน มีการกำหนดระยะเวลา กำหนดงบประมาณที่ใช้ และที่สำคัญคือ ดูว่าสิ่งที่จะทำมีประโยชน์ต่อภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างจับต้องได้อย่างไร” 

ดร.ชนะบอกอีกว่า ในงาน Climate Week NYC 2025 ให้ความสำคัญกับระบบที่สามารถเชื่อมโยงการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมเข้ากับการเงินที่จะต้องรายงานตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งสิ่งที่ SCG นำเข้ามาใช้ในการดำเนินการ คือ ISSB หรือมาตรฐานใหม่ซึ่งจะเชื่อมโยงด้านการเงินกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซอื่นๆ เข้ากับการทำธุรกิจ ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความตรงของข้อมูล หรือ Data Integrity ที่สำคัญที่สุดคือ จะต้องมีการสร้างดาต้าแพลตฟอร์มขึ้นมาใหม่ เพื่อเชื่อมโยงตั้งแต่นโยบาย ระดับกำกับ ไปจนถึงระดับการดำเนินการในโรงงาน ในภาคสนาม เนื่องจากข้อมูลจะต้องมี ‘ความตรง’ บนวิธีการที่สากลยอมรับ 

นอกจากนั้น เนื่องจากมองว่า SCG ไม่สามารถทำงานหรือทำธุรกิจได้เพียงลำพัง ต้องทำงานร่วมกับภาครัฐ เพื่อให้ประเทศได้ประโยชน์ และสามารถลงไปช่วยธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) หรือบริษัทที่จะดำเนินการตาม จึงมีโครงการ Go Togather และ Net Zero Accelerator Program (NZAP) ขึ้นมาสนับสนุนการปรับตัวของ SME ด้วย 

BiOST ชี้โลกต้องสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่

ปิยะชาติ อิศรภักดี ประธานร่วม BRANDi Institute of Systematic Transformation (BiOST) บรรยายในหัวข้อ ‘มุมมองของการนำวิสัยทัศน์ในระดับนานาชาติสู่การปฏิบัติ’ บนเวทีเสวนา ‘From Vision to Action’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ TCAC 2025 ว่า เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่โลกสับสนว่า เศรษฐกิจแบบเดิมอยากจะได้จีดีพีโต 4% แต่ทำไม่ได้ ขณะที่เศรษฐกิจแบบใหม่ที่อยากให้สังคมดีขึ้น สิ่งแวดล้อมดีขึ้น มันก็ไม่เกิด เป็นเพราะ “บริษัทพยายามใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ที่มีไม่จำกัด ทำให้เกิดผลกระทบที่ไม่จำกัดความเสียหาย” 

“เชื่อว่าทุกท่านที่นั่งอยู่ในห้องนี้ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เราพยายาม เราเหนื่อยกันพอสมควร แต่ความคืบหน้ามีน้อยมาก ทำไมสิ่งที่เราใส่เข้าไปมันเติบโตน้อยมาก เราอยากให้สภาพแวดล้อมดีขึ้น สังคมดีขึ้น แต่ความเป็นทุนนิยมมันไม่เอื้อ มันเลยทำให้ผมฉุกคิดว่า เราจะทำให้ต้นไม้ที่ชื่อว่าความยั่งยืนเติบโตในดินที่แห้งแล้งได้อย่างไร ?” 

ปิยะชาติอธิบายขยายความว่า ดินที่แห้งแล้ง คือ การที่โลกอของเรามีปัญหา Triple One Crisis ปัญหาที่หนึ่ง คือ ความมั่งคั่งกระจุกอยู่ที่คนแค่ 1% เป็นที่มาของคำว่า ‘รวยกระจุกจนกระจาย’ ปัญหาที่สอง คือ ระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันเป็นตลาดเสรี (free market) ทุกคนมีโอกาสในระบบเศรษฐกิจแบบนี้ได้ แต่ในความเป็นจริงคนส่วนมากยังอดมื้อกินมื้อ การเข้าถึงระบบสาธารณสุขที่ดียังเป็นเรื่อง privilage จึงไม่มีคนที่พร้อมสำหรับการคว้าโอกาสจากการทำธุรกิจ 

“ว่ากันว่าคนที่มีความพร้อมในชีวิตจะสามารถคว้าโอกาสที่เกิดขึ้นมากกว่าคนทั่วไปถึงสองเท่า ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในแง่คุณภาพชีวิต และปัญหาสุดท้ายที่ใกล้ตัวเรามากที่สุด คือ วันนี้ทุกคนแสวงหาว่าจะทำกำไร จะสร้างเงินได้เท่าไหร่ จะเติบโตอย่างไร จนเราลืมมองความเป็นจริงว่า ทุก 1 บาทที่เราสร้างได้ เราต้องลงทุนมากถึง 3 บาท โลกนี้มีจีดีพีอยู่ประมาณ 100 ล้านล้านบาทดอลลาร์สหรัฐ แต่เกิดจากการสร้างหนี้มากถึง 335 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

“อีกปัญหาหนึ่ง คือ เราทุกคนกำลังบริโภคโลกเกินตัว ในหนึ่งปี เรามีโลก 1 ใบให้บริโภค แต่เรากลับบริโภคถึง 1.85 ใบต่อปี อีก 0.85 เราเอามาจากอนาคตมาใช้ ไปยืมลูกยืมหลานมา ซึ่งการยืมโดยไม่ขอเรียกว่า ‘ขโมย’ เรากำลังขโมยโลกของคนในอนาคตมาใช้”

ปิยะชาติกล่าวอีกว่า ในการประชุม COP มีการทำข้อตกลงร่วมกันแบบนับไม่ถ้วน แต่ยิ่งจัด COP โลกยิ่งปล่อยคาร์บอนมากขึ้น

“ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้นำหลายท่าน ทุกคนเห็นตรงกันว่าการเติบโตของเศรษฐกิจแบบเดิมๆ มันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา ดังนั้นเราต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ จากเดิมที่เราคิดว่าเศรษฐกิจต้องโตขึ้นโดยแลกกับทุกอย่างที่เรามี แลกกับสังคมที่มีคุณภาพ แลกกับสิ่งแวดล้อม อย่าลืมว่าสองสิ่งที่มนุษย์ไม่มีทางเอากลับมาได้ คือ เวลา และสิ่งแวดล้อม 

“เราต้องการการเติบโตแบบใหม่ แบบที่นำพาผู้คนและสิ่งแวดล้อมให้โตไปด้วยกัน อาจจะเป็นการเติบโตที่ใช้เวลามากขึ้น ละเอียดอ่อนมากยิ่งขึ้น แบบที่เราสามารถเติบโตได้โดยมีความภูมิคุ้มกันความเสี่ยง เมื่อมีเหตุการณ์ shock เข้ามา เราสามารถยืดหยุ่นแล้วฟื้นกลับไปได้เหมือนสปริง การเติบโตแบบนี้ต้องการวิธีคิดใหม่ 

“เราต้องการระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ We มากกว่า Me ระบบเศรษฐกิจที่มองเรื่อง Inclusive ตั้งคำถามว่าการเติบโตนี้มีการกระจายรายได้เป็นอย่างไร เราต้องการระบบเศรษฐกิจที่ยกระดับพื้นฐานของคนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เพื่อให้เขามีความพร้อมไปแสวงหาการเติบโตในอนาคต 

“เราต้องการระบบเศรษฐกิจที่ช่วยฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติให้ทันกับอัตราที่เราทำลายมันลง และระบบเศรษฐกิจนั้นจะต้องให้ความสำคัญกับผู้คนมากกว่าเทคโนโลยี AI (ปัญญาประดิษฐ์ - Artificial Intelligence) มาแน่นอน และทุกคนก็ใช้ AI แต่ทุกต้องไม่ลืมว่าโลกที่น่าอยู่มันพัฒนาแค่ AI ไม่ได้ มันต้องพัฒนา Authentic intelligence หรือปัญญาของมนุษย์จริงๆ ถ้ามนุษย์คิดได้และเข้าใจ เราจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น การกระจายรายได้จะมาสู่เรามากยิ่งขึ้น ถ้าเราคิดได้ เราเข้าใจ เราจะใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า เราจะประหยัด เราจะถนอม เพราะนั่นคือสิ่งเดียวที่เรามี เราต้องถ่ายโอนสิ่งนี้ไปสู่ระบบอุตสาหกรรม”

ปิยะชาติกล่าวลงรายละเอียดไปอีกว่า มีเงื่อนไขสำคัญในการออกแบบ Global Industrial System สองข้อ ข้อที่หนึ่ง คือ ต้องเลิกหาแพะ ต้องสร้างพอร์ตฟอลิโอทางพลังงานที่มีสมดุลระหว่าง ความมั่นคงทางพลังงาน ราคาที่เข้าถึงได้ และความยั่งยืน ข้อที่สอง คือ ต้องวางเม็ดเงินสนับสนุนให้ถูกที่ คือเพิ่มเงินสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด “ถ้าใช้เงินถูกที่ กลไกจะเปลี่ยน” 

“เราต้องการให้ระบบเศรษฐกิจที่ให้ความสำคัญกับคนตรงกลาง ที่ผ่านมาโลกมักจะสนใจการนำเงินจากคนข้างบนมาช่วยคนที่เปราะบาง ซึ่งแบบนั้นควรใช้สำหรับเวลาฉุกเฉิน แต่โลกในความเป็นจริง ถ้าอยากแข็งแรง ต้องเสริมสร้างความแข็งแรงตรงกลาง เศรษฐกิจโลกจะแข็งแรงถ้าประเทศกำลังพัฒนาแข็งแรง เศรษฐกิจไทยจะแข็งแรงถ้า SME เติบโต สังคมเราจะมีคุณภาพ ถ้าคนตรงกลางหาเงินได้พอใช้ มีหนี้สินน้อย ดูแลครอบครัวได้ดี 

“ทั้งหมดนี้ต้องทำแบบมีกลไกตั้งแต่ระดับนโยบายไปถึงการปฎิบัติ คิดอย่างเดียวไม่พอต้องเห็นทั้งภาพใหญ่และภาพเล็ก และตลาด เราต้องมีตลาดให้กับการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ เราต้องเห็นภาพใหญ่ว่ามีเงินเต็มไปหมด เงินที่อยู่ในภาคเอกชนมีเยอะมากที่จะซัพพอร์ต แต่เราต้องมีกลไกของตลาดที่ดี ธุรกิจที่ดีต่อโลกและผู้คน คือ ต้องเป็นธุรกิจที่หาทุนง่าย มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำ และขายของพรีเมี่ยม สินค้าพรีเมียมแบบใหม่จะเปลี่ยนจากของหรูหรามาเป็นสินค้าที่ดูแลโลกและสิ่งแวดล้อม และสุดท้ายต้องมี capacity building ทำให้องค์กรเชิงสถาบันและหน่วยงานต่างๆ มีความพร้อมสำหรับอนาคต เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ เราทำได้แค่เตรียมพร้อมกับมันเมื่อมันเกิดขึ้น”  

ประธานร่วมของ BiOST กล่าวปิดท้ายว่า การออกแบบระบบเศรษฐกิจโลกใหม่อาจจะฟังดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่ถ้าไม่มีดินที่ดี ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น พยายามแค่ไหน สิ่งที่ทำอยู่ก็ไม่สามารถออกดอกออกผลได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ 

“การเติบโตที่ยั่งยืนที่แท้จริงต้องเริ่มจากการที่เราแก้ปัญหาในวันนี้ได้โดยไม่เพิ่มปัญหาในวันพรุ่งนี้ และสร้างต้นทุนที่ดีสำหรับการเติบโตในวันต่อไป ถึงเวลาแล้วที่เราต้องคุยกันในเชิงโครงสร้างมากยิ่งขึ้น ถึงเวลาแล้วที่เราต้องมาคุยกันอย่างจริงจังว่าระบบเศรษฐกิจใหม่จะหน้าตาเป็นอย่างไร ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องทำให้เรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจกับเรื่องการพัฒนายั่งยืนการเป็นเรื่องเดียวกัน ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่โลกที่ชื่อว่า Sustainamy” ปิยะชาติ ประธานร่วม BiOST กล่าว

ทั้งนี้ งานประชุม TCAC ครั้งที่ 4 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 - 30 กันยายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) โดยมีการเสวนาหลายเวทีเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเพื่อลดผลกระทบโลกรวน ทั้งจากภาคนโยบาย เยาวชน และส่วนที่เกี่ยวข้องอีกหลายฝ่าย สำหรับท่านที่สนใจ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงการถ่ายทอดสดได้ที่ https://www.facebook.com/dcceth 

แชร์
‘TCAC 2025’ ระดมสมอง จุดประกายความคิด ร่วมพลิกวิกฤตโลกเดือด