รายงานจาก Centre for Research on Energy and Clean Air (CREA) และ Global Energy Monitor (GEM) เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม 68 พบว่า ความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าจากถ่านหินในประเทศจีนเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ แม้ว่าประเทศจะเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานสะอาดได้ในระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
พลังงานถ่านหินนับเป็นแหล่งพลังงานสำคัญในจีนมานานหลายทศวรรษ แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วของการติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดความหวังว่าประเทศจะสามารถเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ทำลายสิ่งแวดล้อมของโลก
ทั้งนี้ ถ่านหินคิดเป็นสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดของจีน ซึ่งลดลงจาก 3 ใน 4 ในปี พ.ศ. 2559 อย่างไรก็ตาม รายงานจาก CREA และ GEM ฉบับดังกล่าว ระบุว่า ประเทศจีนได้เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินอีก 21 กิกะวัตต์ (GW) ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นยอดรวมครึ่งปีแรกที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2559
นอกจากนี้ จีนยังกลับมาดำเนินการก่อสร้างโครงการถ่านหินอีก 46 กิกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับกำลังการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินทั้งหมดของเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นการริเริ่มโครงการใหม่แลรื้อฟื้นโครงการเดิมที่ถูกยุติไปอีกราว 75 กิกะวัตต์ รายงานระบุว่า ตัวเลขการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นภัยคุกคามต่อเป้าหมายของจีนที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสูงสุดภายในปี 2573 (หรือเป้าหมาย ปี ค.ศ. 2030) และมีความเสี่ยงที่จะทำให้บทบาทของถ่านหินในภาคพลังงานแข็งแกร่งขึ้น
จีนซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด แต่ก็เป็นมหาอำนาจด้านพลังงานหมุนเวียนด้วยเช่นกัน ด้านคริสเตียน เชียเรอร์ นักวิเคราะห์จาก GEM กล่าวว่า "การพัฒนาพลังงานไฟฟ้าจากถ่านหินในจีน...ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงอยู่ในระดับสูง และทำให้ถ่านหินยังคงอยู่ในระบบไปอีกหลายปี"
ขณะที่ลอรี มิลลีเวอร์ตา นักวิเคราะห์หลักจาก CREA กล่าวว่า จีนอาจใช้ถ่านหินมากขึ้นในไม่ช้า เนื่องจาก ยังมีโครงการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินที่ได้รับอนุญาตแล้วจำนวนมหาศาล เนื่องจากรัฐบาลได้อนุมัติใบอนุญาตใหม่จำนวนมากในปีพ.ศ. 2565 - 2566 ที่ผ่านมา เมื่อโครงข่ายไฟฟ้าของจีนประสบปัญหาในการปรับตัวเข้ากับการเติบโตของพลังงานหมุนเวียน
การเติบโตของถ่านหินในรอบล่าสุดนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของจีนที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และสามารถครอบคลุมความต้องการไฟฟ้าของประเทศได้แล้ว โดยจีนได้ติดตั้งกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 212 กิกะวัตต์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี ซึ่งเป็นสถิติใหม่ และทุบสถิติผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ได้มากกว่าสหรัฐฯ ในปีที่แล้ว
สถิติดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า จีนกำลังดำเนินไปตามเป้าหมายที่จะติดตั้งพลังงานสะอาดจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานนิวเคลียร์ และพลังงานน้ำในปี 2568 ให้เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการไฟฟ้าทั้งหมดของเยอรมนีและสหราชอาณาจักรรวมกัน
ประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง ให้คำมั่นในปี พ.ศ. 2564 ว่า จะควบคุมโครงการไฟฟ้าจากถ่านหินและการเติบโตของการใช้ถ่านหินอย่างเข้มงวด และจะค่อย ๆ ลดจำนวนโรงไฟฟ้าถ่านหินเหล่านี้ลงในระหว่างปี พ.ศ. 2569 ถึง 2573 แต่รายงานข้อเท็จจริงกลับสวนทางกับการประกาศดังกล่าว โดยมีการปลดระวางโรงไฟฟ้าจากถ่านหินเพียง 1 กิกะวัตต์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ทำให้ประเทศยังห่างไกลจากเป้าหมายที่จะปลดระวาง 30 กิกะวัตต์ระหว่างปี 2563 ถึงสิ้นปีนี้
ฉี ฉิน นักวิเคราะห์ประจำประเทศจีนจาก CREA กล่าวว่า "กลุ่มผลประโยชน์จากถ่านหินที่ทรงอิทธิพล" ยังคงผลักดันโครงการไฟฟ้าถ่านหินต่อไป โดยทำให้สัดส่วนของถ่านหินในกำลังการผลิตลดลง แต่สัญญาในระยะยาวและการจ่ายค่าสัมปทานให้รัฐบาล ทำให้โรงไฟฟ้าถ่านหินหลายแห่งยังคงต้องทำงานด้วยกำลังการผลิตที่สูง"
อย่างไรก็ตาม จีนมีแนวโน้มที่จะประกาศเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและพลังงานใหม่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 15 สำหรับปี ค.ศ. 2026 ถึง 2030 โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวในเดือนเมษายนว่าประเทศจะประกาศพันธกรณีในการลดก๊าซเรือนกระจกในปี ค.ศ. 2035 ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ Nationally Determined Contributions (NDCs) ก่อนการประชุม COP30 ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้