16 มิถุนายน 2568 สหประชาชาติกระตุ้นนักลงทุนเร่งปกป้องมหาสมุทรโลก เรียกร้องให้นักลงทุนร่วมลงขันราว 10 ล้านดอลาร์สหรัฐ ผลักดันให้มีข้อตกลงมูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ตามการประชุมของ UN เมื่อสัปดาห์ก่อน แต่นั่นเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าจำนวนเงินที่ต้องการอยู่มาก เนื่องจากฝ่ายนักลงทุนต้องการความชัดเจนด้านกฎเกณฑ์การพัฒนาและจัดการมหาสมุทรที่ชัดเจนก่อนลงทุน
สัปดาห์ก่อน สหประชาติจัดงานประชุม 2025 UN Ocean Conference ที่เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 9-13 มิถุนายน โดยการประชุมว่าด้วยมหาสมุทรครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย กระตุ้นการดำเนินการและขับเคลื่อนผู้มีส่วนร่วมทุกคนให้อนุรักษ์และทำให้มหาสมุทรยั่งยืน
ขณะที่ผู้นำด้านการเมืองแห่งสหประชาชาติได้เร่งดำเนินการเพื่อจัดการปัญหาการประมงเกินขนาดและปัญหามลภาวะ ที่กำลังเป็นภัยคุกคามใหญ่ต่อรบบนิเวศทางทะเล และชุมชนที่พึ่งพามหาสมุทรเพื่อดำรงชีวิต
มีเพียง 50 ประเทศเท่านั้นที่ให้สัตยาบันในสนธิสัญญาว่าด้วยทะเลหลวงฉบับใหม่ จากที่ข้อตกลงนี้มีกว่า 13 ประเทศเห็นชอบร่วมกันในปี 2023 เพื่อกำหนดกฎเกณฑ์ในการบริหารน่านน้ำสากลและปราบปรามการปฏิบัติที่เป็นอันตราย สหรัฐฯ ยังไม่ให้สันตยาบันในสนธิสัญญาดังกล่าว
ทั้งนี้ ทะเลหลวงคือ ส่วนของทะเลและมหาสมุทรที่อยู่นอกเหนือจากเขตอำนาจอธิปไตยของรัฐใดๆ และไม่มีรัฐใดสามารถอ้างสิทธิความเป็นเจ้าของได้
สิ่งที่ขวางทางการระดมทุนจากภาคเอกชนอยู่คือ การขาดกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจน รวมไปถึงข้อมูลสถานการณ์มหาสมุทรโลกที่เพียงพอ โอลิเวอร์ วิทเธอร์ส หัวหน้าฝ่ายธรรมชาติของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดในอังกฤษกล่าวถึงความแตกต่างของการจัดการปัญหาบนพื้นที่ทะเลหลวง
“สิ่งที่ทำให้ทะเลหลวงแตกต่างจากพื้นที่บนบกมากคือ ทะเลหลวงไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐใดรัฐหนึ่ง [...] สิ่งที่เป็นความท้าทายใหญ่มาก เพราะไม่มีอธิปไตยใดรับผิดชอบทะเลหลวงโดยตรง”
เงินทุนจากข้อตกลงที่เกิดขึ้นสัปดาห์ก่อน ส่วนใหญ่คือเงินทุนจากธนาคารของรัฐ ประกอบไปด้วย 2.5 พันล้านดอลลาร์ จากธนาคารพัฒนาแห่งลาตินอเมริกาและแคริบเบียน (CAF) และ 3 พันล้านยูโร (3.5 พันล้านดอลลาร์) จากกลุ่มธนาคารพัฒนา เพื่อจัดการปัญหามลพิษจากพลาสติก
เงินทุนจากกลุ่มธนาคารถือว่าเป็นพัฒนาการหนึ่งในการอนุรักษ์มหาสมุทรโลก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเงินทุนที่ระดมได้ระหว่างปี 2015–2019 ที่มีการลงทุนเพียง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ตัวเลขโดยรวมก็ยังห่างไกลจากระดับที่จำเป็นมาก เทียบกับการคาดการณ์ของสหประชาชาติที่ระบุว่า จำเป็นต้องมีเงินทุน 175 พันล้านดอลลาร์ต่อปี
ฟรานซีน พิคอัพ รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและสนับสนุนโครงการของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) กล่าวถึงการขาดแคลนเงินทุนในการจัดการปัญหามหาสมุทรโลก
“เงินจากภาครัฐเพียงอย่างเดียวไม่พอ แต่เงินจากภาคเอกชนก็ยังน้อยกว่านั้นอีก ดังนั้นฉันคิดว่านี่คือพื้นที่ที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น”
พิคอัพกล่าวว่า การปรับปรุงพื้นฐานด้านนโยบายและกฎระเบียบ รวมถึงการยกเลิกเงินอุดหนุนที่เธอบอกว่าเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่เป็นอันตราย เช่น การทำประมงเกินขนาด เป็นสิ่งสำคัญ ตามมาด้วยการจัดทำกลุ่มโครงการลงทุน เช่น สตาร์ทอัปด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับมหาสมุทร