ครอบครัวที่ตัดสินใจใช้ชีวิตใน “มาสดาร์ ซิตี้” (Masdar City) เมืองสีเขียวเล็ก ๆ ในอาบูดาบี จะได้ตื่นขึ้นมาท่ามกลางอากาศอันเย็นสบาย แม้อุณหภูมิภายนอกอาจจะสูงลิ่ว เพราะอะพาร์ตเมนต์ของพวกเขามีระบายอากาศตามธรรมชาติ คุณแม่ตื่นมาทำอาหารเช้าในครัวที่ใช้พลังงานน้อยนิด เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชิ้นเป็นแบบประหยัดพลังงาน ส่วนคุณพ่อและเด็ก ๆ ยืนรอที่สถานี PRT เพื่อเดินทางไปออฟฟิศและโรงเรียนด้วยระบบขนส่งอัจฉริยะแบบไร้คนขับ เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้ไม่อนุญาตให้มีการใช้รถยนต์ ลดมลพิษทางอากาศได้เป็นอย่างดี
หลังเลิกเรียนและเลิกงาน ครอบครัวกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง บางวันพวกเขาจะเดินเล่นใน "สวนสาธารณะแห่งนวัตกรรม" ที่เต็มไปด้วยพืชพันธุ์ท้องถิ่นและงานศิลปะที่ทำจากวัสดุรีไซเคิล บางวันก็ไปเยี่ยมชม "ศูนย์วิจัยพลังงานแสงอาทิตย์" ที่จัดแสดงเทคโนโลยีใหม่ ๆ หรือไม่ก็ไป "ตลาดชุมชน" ที่ขายสินค้าเกษตรอินทรีย์จากฟาร์มในท้องถิ่น
ตกกลางคืนพวกเขาจะได้อ่านหนังสือและดูทีวี ทำกิจกรรมพักผ่อนภายใต้แสดงไฟพลังงานโซลาร์เซลส์ที่เก็บสะสมมาทั้งวัน นี่คือชีวิตประจำวันในฝันสำหรับคนรักสิ่งแวดล้อม แต่มันกำลังเกิดขึ้นจริงแล้วที่ “มาสดาร์ ซิตี้” ความชุ่มชื่นจากโลกสีเขียว ท่ามกลางทะเลทราย ใกล้สนามบินอาบูดาบี ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่หลายคนเรียกว่า “เมืองแห่งอนาคต”
รัฐบาล UAE ปี ริเริ่มออกแบบโครงการในปี 2006 และเริ่มสร้างจริงในอีก 2 ปีต่อมา จนทำให้เมืองแห่งนี้ โดดเด่นในฐานะต้นแบบเมืองยั่งยืนแห่งแรกของโลก ด้วยการผสานนวัตกรรมล้ำสมัยเข้ากับการออกแบบที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอย่างลึกซึ้ง โดยมีเป้าหมายหลักคือการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและขยะให้เป็นศูนย์ เมืองนี้มีเป้าหมายขับเคลื่อนด้วยพลังงานหมุนเวียน 100% ส่วนใหญ่มาจากแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่และที่ติดตั้งบนอาคารต่างๆ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการจัดการน้ำและของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยระบบรีไซเคิลน้ำและเทคโนโลยีการจัดการขยะที่ล้ำหน้า
แม้โครงการต่าง ๆ ในปัจจุบัน ยังไม่เสร็จสมบูรณ์เสียทีเดียว เนื่องจากมีการปรับผังอยู่เรื่อย ๆ ให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลก แต่ในปี 2025 นี้ มาสดาร์ ซิตี้ก็สามารถเปิดประตูรับแขก เป็นเจ้าภาพจัดงาน Abu Dhabi Sustainability Week (ADSW) 2025 ซึ่งจัดขึ้นในเดือนมกราคมที่ผ่านมา งานนี้รวบรวมผู้นำระดับโลก นักการเมือง ภาคธุรกิจ และผู้นำภาคประชาสังคมมาแลกเปลี่ยนแนวคิดและหารือเกี่ยวกับแนวทางเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน การเป็นเจ้าภาพจัดงานเหล่านี้เน้นย้ำถึงบทบาทของ Masdar City ในฐานะผู้นำด้านพลังงานสะอาดและการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับภูมิภาคและระดับโลก
อาบูดาบีไม่ได้มีแค่มาสดาร์ ซิตี้เท่านั้นที่แสดงถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาเมืองยั่งยืน แต่ยังมีโครงการและความริเริ่มอื่น ๆ อีกมากมายที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนของอาหรับเอมิเรตส์ ยังมีโปรเจกต์เจ๋ง ๆ ที่รัฐบาล เอกชน และประชาชน ร่วมมือให้เกิดขึ้น เพื่อรองรับเมืองที่ยั่งยืนแห่งอนาคต Spotlight ชวนอ่าน ตัวอย่างโครงการสุดล้ำ แต่ทำได้จริง ซึ่งเกิดขึ้นในมหานครอาบูดาบี เมืองหลวงของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
Estidama เป็นระบบการให้คะแนนอาคารเขียว (Green Building Rating System) ที่พัฒนาขึ้นโดยรัฐบาลอาบูดาบี โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอาคารและชุมชนที่ยั่งยืนในอาหรับเอมิเรตส์ โดย Estidama ในภาษาอาหรับแปลว่า "ความยั่งยืน" ซึ่งสะท้อนถึงเจตนารมณ์หลักของระบบนี้ อาคารแต่ละแห่งจะได้คะแนนเป็นแต้มไข่มุก ตั้งแต่ 1 Pearl ระดับพื้นฐานที่บังคับสำหรับโครงการใหม่ทั้งหมดในอาบูดาบี นั่นหมายความว่าอาคารใหม่ทุกแห่งจะถูกออกแบบมาเพื่อคำนึงถึงระบบประหัดน้ำประหยัดไฟ ไปจนถึง 5 Pearls ระดับสูงสุดของความยั่งยืน เช่น อาคารรัฐสภาโดมตาข่าย Lattice-Domed Parliament Building ที่ใช้ไฟฟ้าจะแผงโซลาร์ เป็นต้น
โครงการ Noor Abu Dhabi ซึ่งในภาษาอาหรับหมายถึง "แสง" ของอาบูดาบี เป็นหนึ่งในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์มากถึง 3.2 - 3.3 ล้านแผง ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 7.8 ตารางกิโลเมตร หรือเทียบเท่ากับสนามฟุตบอลประมาณ 1,100 สนาม จึงสามารถผลิตไฟฟ้าได้กว่า 1.177 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 1 ล้านเมตริกตันต่อปี มีการประเมินเบื้องต้นว่า สนามโซลาร์เซลล์ขนาดยักษ์ สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าที่เพียงพอต่อความต้องการของครัวเรือนประมาณ 90,000 หลังในอาบูดาบี
โครงการดังกล่าวริเริ่มเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2019 บริหารจัดการโดย Sweihan PV Power Company (SPPC) ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าระหว่างรัฐบาลอาบูดาบี และกลุ่มบริษัทจากญี่ปุ่น (Marubeni Corporation) และจีน (Jinko Solar Holding)
"ยุทธศาสตร์ไฮโดรเจนแห่งชาติ" มุ่งเน้นการเสริมสร้างบทบาทของ UAE ในฐานะผู้ผลิตและผู้จัดหาไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำชั้นนำของโลก ตั้งเป้าตั้งเป้าผลิตให้ได้ 1.4 ล้านตันต่อปีภายในปี 2031 (แบ่งเป็น Green Hydrogen 1 ล้านตัน และ Blue Hydrogen 0.4 ล้านตัน) และเพิ่มเป็น 7.5 ล้านตันต่อปีภายในปี 2040 และ 15 ล้านตันต่อปีภายในปี 2050 โดนมีแผนพัฒนาศูนย์กลางการผลิตไฮโดรเจน (Hydrogen Hubs) ที่เรียกว่า "Oases" เพื่อเร่งการนำไฮโดรเจนไปใช้ในอุตสาหกรรม และสร้างห่วงโซ่อุปทานและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น
หนึ่งในโครงการนำร่องที่ทั่วโลกจับตามอง คือการผลิต Green Steel (เหล็กกล้าสีเขียว) ด้วย Green Hydrogen ในการสกัดเหล็กจากแร่เหล็ก ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการผลิตเหล็ก สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้ Green Hydrogen ในภาคอุตสาหกรรมจริง และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความมุ่งมั่นในการลดคาร์บอน
การสร้างเมืองดูไบให้เป็น "เมืองยั่งยืน" นั้นเป็นความท้าทายอย่างมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าเมืองนี้ถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ทะเลทรายที่แห้งแล้งและร้อนจัด ความท้าทายหลักๆ ที่ดูไบต้องเผชิญได้แก่ การขาดแคลนน้ำจืดและภาวะแห้งแล้งรุนแรง เนื่องจากแทบไม่มีแหล่งน้ำจืดธรรมชาติ จึงต้องพึ่งพากระบวนการแยกเกลือออกจากน้ำทะเลเป็นหลัก แน่นอนว่าเป็นขั้นตอนที่ล้วนใช้พลังงานสูง และต้องปล่อยน้ำเกลือเข้มข้นลงสู่ทะเล ซึ่งจะทำลายระบบนิเวศในอ่าวเปอร์เชีย
อุณหภูมิที่สูงมากในทะเลทราย ทำให้ความต้องการใช้เครื่องปรับอากาศในอาคารและพื้นที่สาธารณะสูงลิ่ว ส่งผลให้การใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก แม้จะมีการลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์ แต่การพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิตไฟฟ้ายังคงเป็นสัดส่วนที่สูง และทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก
ปัจจุบัน ดูไบกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวและเมืองศูนย์รวมที่ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจ แน่นอนว่าการเติบโตของประชากรและเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และพฤติกรรมการบริโภค ทำให้ปริมาณขยะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้จะมีการลงทุนในโรงงานเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน แต่การจัดการของเสียอย่างยั่งยืน ทั้งการลด การใช้ซ้ำ และการรีไซเคิล ยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่อง
ดูเหมือนว่าดูไบจะเผชิญความท้าทายรอบด้าน และมีอุปสรรคมากกว่าเมืองทั่วไปในการดำรงชีวิตด้วยซ้ำ แต่เมืองกลางทะเลทรายแห่งนี้ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองยั่งยืนแห่งหนึ่ง ความสำเร็จเหล่านั้น มีอะไรบ้าง? Spotlight สรุปออกมาเป็น 5 ประการ ที่ทำให้เมืองยั่งยืนแห่งนี้น่าทึ่งกว่าที่ไหน ๆ
ดูไบประกาศความสำเร็จด้านการผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์มาก่อนอาบูดาบีด้วยซ้ำ ที่นี้มี Mohammed bin Rashid Al Maktoum Solar Park โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบรวมศูนย์ (CSP) และเซลล์แสงอาทิตย์ (PV) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีเป้าหมายกำลังการผลิตรวม 5,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2030 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ Dubai Clean Energy Strategy 2050 ที่ตั้งเป้าให้ 75% ของการผลิตไฟฟ้าของดูไบมาจากแหล่งพลังงานสะอาด
โรงไฟฟ้าแห่งนี้ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้หลายล้านตันต่อปี และมีส่วนช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในระดับโลก ทำให้พลังงานสะอาดเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โครงการนี้ได้รับการบันทึกสถิติ Guinness World Records อีกด้วย
แนวคิด Net Zero Energy: The Sustainable City คือชุมชนแรกในดูไบที่ได้รับการออกแบบให้เป็น "Net Zero Energy" ที่ไม่ได้แค่ผลิตพลังงานใช้เองได้เพียงพอต่อความต้องการของคนในชุมชนเท่านั้น แต่ยังสามารถผลิตพลังงานส่วนเกินส่งคืนให้กับระบบได้ ผ่านการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนบ้านทุกหลัง, ระบบจัดการน้ำเสียแบบครบวงจรเพื่อนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ (100% Waste Water Recycling), การส่งเสริมการเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้าและจักรยาน (100% EV Vehicles and EV infrastructure), ไปจนถึงการทำฟาร์มแนวตั้ง (Indoor Vertical Farming) และการจัดการของเสีย 100% โดยไม่ส่งไปยังหลุมฝังกลบ
The Sustainable City ได้รับรางวัลระดับนานาชาติมากมายสำหรับการออกแบบเมืองที่เป็นนวัตกรรมและแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน และเป็นโมเดลที่ได้รับการยอมรับและนำไปปรับใช้ในโครงการอื่นๆ ทั่วโลก
การจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ (Waste-to-Energy Plant):
ดูไบตั้งเป้าที่จะไม่ส่งขยะไปฝังกลบเลยภายในปี 2030 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ท้าทายมาก โรงงานเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน หนึ่งในโครงการที่จะช่วยทำให้เป้าหมายนี้สำเร็จก็คือ โรงงานเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน ที่ Warsan ซึ่งใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง โดยมีกำลังการแปรรูปขยะมูลฝอยถึง 5,666 ตันต่อวัน และผลิตกระแสไฟฟ้าได้สูงถึง 220 เมกะวัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับ 135,000 ครัวเรือน การที่โรงงานนี้สามารถดำเนินงานเต็มรูปแบบได้ในเดือนกันยายน 2024 ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในการลดขยะและผลิตพลังงานสะอาดไปพร้อมกัน
เป้าหมายการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์: Roads and Transport Authority (RTA) ของดูไบตั้งเป้าให้ระบบขนส่งสาธารณะทั้งหมดเป็น "การปล่อยมลพิษเป็นศูนย์" (Emissions-Free Public Transport) ภายในปี 2050 ผ่านการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า ในโครงการ Dubai Green Mobility Initiative และ EV Green Charger Initiative ซึ่งดูไบได้เพิ่มจำนวนสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว (เป้าหมาย 1,000 แห่งภายในปี 2025) และมีนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริด เช่น การกำหนดให้หน่วยงานรัฐบาลต้องจัดหารถยนต์ไฟฟ้า/ไฮบริด 10% ของยานพาหนะทั้งหมดต่อปี
โครงการฟื้นฟูมหาสมุทร: "Dubai Reefs" เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาแนวปะการังทางทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มจำนวนปลา สนับสนุนการประมงที่ยั่งยืน และลดการปล่อยคาร์บอน รวมถึงเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของดูไบในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบนิเวศ
ความสำเร็จเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าดูไบไม่ได้เป็นเพียงเมืองที่สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว แต่ยังเป็นผู้นำที่กล้าหาญในการเผชิญหน้ากับความท้าทายด้านความยั่งยืน โดยใช้พลังของนวัตกรรม เทคโนโลยี และการลงทุน เพื่อสร้างอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นเมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคน ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับเมืองอื่น ๆ ทั่วโลก
หากคุณผู้อ่านสนใจประเด็นการสร้างเมืองยั่งยืน Spotlight ชวนร่วมงานสัมมนา “Creating Sustainable City สร้างเมืองยั่งยืน เพื่อชีวิตยืนยาว” ซึ่งจะจัดขึ้นวันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00 - 12.30 น. ณ ห้อง Auditorium C Asean อาคาร CW Tower ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ทั้งนี้ สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานล่วงหน้าได้ฟรี (คลิกที่นี่)