ปัญหาอุณหภูมิร้อนสุดสุดในรอบ 70 ปี คนกรุงเข้าถึงอากาศดีได้แค่ 10% หรือฤดูฝนที่เริ่มเร็วกว่าปกติ ปัญหาเหล่านี้คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าคนไทยได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเมื่อโลกกำลังเปลี่ยนไป เราจึงต้องเปลี่ยนแปลง แต่การปรับตัวทั้งหลายนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเองได้ อาศัยทรัพยากรมาก หนึ่งในนั้นคือ "เงิน"
เงินคือสิ่งสำคัญในการเปลี่ยนแนวทาง ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาคอื่นใดที่ไม่นิยามตนเป็นสองกลุ่มแรก ภาคการเงินจึงมีบทบาทมากในการเป็นผู้ผลักดัน สนับสนุนภาคส่วนอื่นให้สามารถดำเนินการบนเส้นทางสีเขียวได้
ที่ฟอรั่ม EARTH JUMP 2025 : TRANSITION THRU TURBULENCE โดยธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับ ThaiCBN จากเสวนาหัวข้อ World Climate Finance: การเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศ กลไกขับเคลื่อนโลกสู่ความยั่งยืน คุณ Ma Jun ประธานสถาบันการเงินและความยั่งยืน (Institute of Finance and Sustainability) ยกตัวอย่างประเทศจีนและการเงินสีเขียว แบ่งปันประสบการณ์การดำเนินงานด้านการเงินสีเขียวในจีนที่เริ่มมาก่อนหน้าแล้ว
คุณ Ma เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่ธนาคารกลางแห่งประเทศจีน ขณะนั้น (ราว 10 ปีก่อน) ปักกิ่งประสบปัญหามลภาวะทางอากาศ ซึ่งแม้ไม่ใช่ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมโดยตรงอย่างที่เราเผชิญในปัจจุบัน ก็เป็นแรงกดดันให้รัฐบาลจีนต้องแก้ไขด้วยงบประมาณมากกว่า 4 ล้านล้านหยวน
“เรา [ธนาคารกลางแห่งประเทศจีน] เข้าใจว่ารัฐบาลต้องระดมทุนประมาณ 4 ล้านล้านหยวนต่อปี แต่รัฐบาลไม่มีเงินมากพอ มีอยู่เพียงประมาณ 10% ของงบประมาณที่ต้องใช้เท่านั้น และภาคการเงินสามารถช่วยระดมทุนที่เหลืออีก 90% ซึ่งจำเป็นต่อการควบคุมและป้องกันมลพิษได้”
คุณ Ma อธิบายว่านั่นเองคือจุดเริ่มต้นของการเงินสีเขียวในจีน ซึ่งมีเสาหลัก 4 ข้อ ได้แก่:
จีนมี taxonomy หลายชุด เช่น taxonomy สำหรับพันธบัตร, taxonomy สำหรับสินเชื่อ หรือ taxonomy สำหรับกองทุนสีเขียว ซึ่งเป็น taxonomy ฉบับแรกของจีน ล่าสุด มีการจัดทำ taxonomy เพื่อการเปลี่ยนผ่าน (transition taxonomy) โดยมีหลักการแยกกิจกรรมออกเป็นสองชุด ได้แก่
กิจกรรมหลังจะถูกจัดอยู่ใน transition taxonomy หรือการจำแนกว่าสิ่งใดดีต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งมีการจัดทำร่างแล้ว และรัฐบาลท้องถิ่นบางแห่งกำลังนำร่องโครงการ
“เหตุผลที่เราต้องมี taxonomy ก็เพราะว่าเราจำเป็นต้องใช้มันในการป้องกันปัญหา greenwashing และเพื่อกำหนดนิยามว่า ‘อะไรคือสีเขียว’ อย่างเป็นทางการ ไม่เช่นนั้นทุกคนก็จะอ้างว่าตัวเอง ‘สีเขียว’ กันหมด”
คุณ Ma กล่าวว่า ในอนาคตจีนจะรวม taxonomy เป็นชุดเดียว เพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินสีเขียวประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินกู้ พันธบัตร หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ
เสาหลักข้อที่ 2: การเปิดเผยข้อมูล
หลังจากจีนออกผลิตภัณฑ์ด้านการเงินสีเขียวอย่างต่อเนื่อง เช่น สินเชื่อสีเขียว พันธบัตรสีเขียว ธนาคารจีนได้กำหนดให้ผู้กู้หรือผู้ออกผลิตภัณฑ์เหล่านี้ต้อง “เปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม”
“หากคุณสามารถลดมลพิษทางอากาศ ทางน้ำ หรือการปนเปื้อนของดิน บอกเรามาว่าลดได้เท่าไหร่ หรือหากลดคาร์บอน หรือประหยัดพลังงานได้ บอกมาว่าประหยัดไปเท่าไหร่ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกเปิดเผยต่อนักลงทุน ตลาดทุน และหน่วยงานกำกับดูแล”
เสาหลักข้อที่ 3: แรงจูงใจ
คุณ Ma กล่าวว่า สำคัญมาก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา เช่น จีนมีการจัดตั้ง decapitalization facility ซึ่งเป็นกลไกของธนาคารกลางในการให้กู้ซ้ำ เสนอต้นทุนต่ำให้โครงการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 1.75% ซึ่งต่ำกว่าตลาดทั่วไปถึง 200 จุดพื้นฐาน
ในระดับท้องถิ่นก็มีการใช้งบประมาณมาอุดหนุนดอกเบี้ยพันธบัตรสีเขียวเพื่อลดต้นทุนให้ผู้ออกพันธบัตร
เสาหลักข้อที่ 4: ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน
จีนมีหลายประเภท เช่น สินเชื่อสีเขียว พันธบัตรสีเขียว ประกันภัยสีเขียว กองทุน ETF สีเขียว และผลิตภัณฑ์ทางการเงินเกี่ยวกับคาร์บอน โดยสินเชื่อและพันธบัตรเป็นประเภทใหญ่ที่สุด ปัจจุบันจีนมีตลาดสินเชื่อสีเขียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก มูลค่าสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 40 ล้านล้านหยวน หรือราว 181 ล้านล้านบาท
“ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นเชื้อเพลิงหลักของการเติบโตของเศรษฐกิจสีเขียวของจีน จีนมุ่งมั่นแข่งขันเรื่องพลังงานหมุนเวียนมาก และแน่นอนเราสนับสนุนการเงินสีเขียว เราจึงสามารถสร้างอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้”
ปัจจุบัน 50% ของแผงโซลาร์และกังหันลมในโลกมาจากจีน อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของจีนก็คิดเป็น 60% ของโลก อย่างไรก็ตามมีการวิจารณ์ว่ากระบวนการผลิตแผงโซลาร์และรถยนต์ไฟฟ้าบางส่วนมีการใช้ “แรงงานบังคับ” ทำให้หลายประเทศเริ่มหันหลังให้ผลิตภัณฑ์ที่แม้จะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ละเลยสิทธิมนุษยชน
คุณ Ma กล่าวว่า การร่วมมือในระดับนานาชาตินั้นก็สำคัญ ตอนนี้กว่า 70 ประเทศรวมถึงประเทศไทยกำลังพัฒนา taxonomy ของตนเอง แต่หากแต่ละชาติไร้กฎเกณฑ์ร่วม ก็จะทำให้ขาดความสอดคล้องระดับประเทศ และเกิดการแบ่งแยกตลาดในที่สุด
คุณ Ma ยกตัวอย่างการออกพันธบัตรสีเขียวในรูปแบบเงินหยวนโดยใช้มาตรฐานจีนเมื่อ 5 ปีก่อน แต่ไม่สามารถขายในยุโรปได้ เพราะยุโรปไม่ยอมรับมาตรฐานจีน ต่อมาจึงมีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันระหว่างจีนและสหภาพยุโรป และสร้าง Common Ground Taxonomy (CGT) ที่ได้รับการรับรองทั้งจากจีนและสหภาพยุโรป โดย taxonomy นี้ระบุไว้ถึง 72 กิจกรรม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การบำบัดน้ำเสีย การขนส่งทางเรือ การบินคาร์บอนต่ำ เป็นต้น
คุณสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทยและภาคการเงิน
การดำเนินการที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการผลักดันให้ภาคการเงินคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม การตั้ง Thailand taxonomy เป็นกฎเกณฑ์ในการพิจารณากิจกรรมในประเทศ และโครงการ Financing the Transition หรือการจัดหเงินทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่าน
ตัวอย่างการสนับสนุนให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวไปสู่การดำเนินกิจกรรมคาร์บอนต่ำ คือความร่วมมือระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารพาณิชย์ ให้สินเชื่ออัตราพิเศษสนับสนุนผู้ประกอบการที่ปรับเปลี่ยนกระบวนการเก็บเกี่ยวอ้อยเพื่อลดฝุ่น PM2.5 ซึ่งนับจากเริ่มโครงการช่วงปลายปี 2566 จนถึงเดือนสิงหาคม 2567 โครงการดังกล่าวให้สินเชื่อแก่โรงงานน้ำตาลไปแล้ว 1,250 ล้านบาท
และอีกโครงการ ซึ่งเป็นผลพวงความสำเร็จของโครงการสินเชื่อน้ำตาล คือโครงการ Financing the Transition ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับธนาคารพาณิชย์ 8 แห่ง ให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมมากขึ้น อาทิ สินเชื่อเพื่อลดมลพิษฝุ่น PM2.5 สินเชื่อบัวหลวงกรีนเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม สินเชื่อกรุงไทยเพื่อความยั่งยืน (ESG) Krungsri SME Transition Loan และอื่น ๆ
คุณสมชายกล่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยมุ่งมั่นดำเนินการต่อเนื่อง มีจุดโฟกัสหลักคือ ข้อหนึ่ง ผนวกมิติด้านสิ่งแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ มีการตั้งเป้า Green Loan ที่ท้าทายมากขึ้น การสร้างโครงสร้างภายในที่มีหน้าที่รับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมโดยตรง และการตั้งเครื่องมือประเมินความเสี่ยงที่ดีขึ้น
ข้อที่สองคือ ธนาคารควรออกไปพบลูกค้ามากขึ้นเพื่อเสนอแนวทางและผลิตภัณฑ์ในการปรับตัวด้านสิ่งแวดล้อม
คุณสมชายชี้ว่า มีการเข้าไปพบปะลูกค้าเพื่อเสนอแนวทางด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และพบว่าหลายครั้ง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เงินทุน แต่เป็นที่ความเข้าใจประเด็น
“จากการเข้าไปทำความรู้จักหรือเข้าใจธุรกิจของลูกค้าอย่างใกล้ชิด สิ่งที่เราพบคือ หลายครั้งไม่ใช่เรื่องเงินเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากธุรกิจขาดองค์ความรู้หรือเทคโนโลยีที่จำเป็นในการปรับตัว ส่วนนี้มีการแก้ปัญหาคือ มีการพาไปพบเครือข่ายผู้ที่มีความเข้าใจหรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ปรึกษา คำแนะนำ เพื่อให้มั่นใจว่าการเปลี่ยนผ่านเกิดขึ้นได้จริง และยังนำมาสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่รอบด้าน พร้อมรับการปรับตัวที่หลากหลายและรอบด้านมากขึ้น”
คุณสมชายอัพเดตว่าสินเชื่อภายใต้โครงการนี้ได้รับอนุมัติไปแล้วกว่า 90% และวางเป้าหมายไว้ที่ 100,000 ล้านบาท
และสิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมุ่งมั่นดำเนินการต่อคือ การประเมินความพร้อมภาคการเงินอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการผลักดันนำ taxonomy ไปใช้ในภาคการเงิน และขยายผลโครงการ Financing the Transition ต่อไป
นอกจากนี้คุณสมชายยังชี้ถึงความจำเป็นในการมีผลิตภัณฑ์การเงินที่ให้บริการด้านสิ่งแวดล้อมครบวงจร ว่า เพียงแค่สินเชื่ออาจไม่พออีกต่อไป
“ลูกค้าในปัจจุบันไม่ได้ต้องการแค่ ‘เงินกู้’ เท่านั้น แต่ต้องการบริการอื่น ๆ ที่ช่วยให้สามารถปรับตัวได้จริง ด้วยเหตุนี้ ทางการไทยจึงมองว่า หากเราสามารถให้บริการด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างครบวงจร มากกว่าการปล่อยสินเชื่อเพียงอย่างเดียว จะยิ่งช่วยเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”