การเงิน

จับตา จีนกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม แรงหนุนราคาทองคำครึ่งปีหลัง

29 มิ.ย. 66
จับตา จีนกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม แรงหนุนราคาทองคำครึ่งปีหลัง
ไฮไลท์ Highlight
อย่างไรก็ดี ทางการจีนก็ได้ดำเนินมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเริ่มจากการร้องขอให้ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ของประเทศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง โดยการปรับลงตรงนี้นอกจากจะช่วยเพิ่มการใช้จ่ายของครัวเรือนแล้ว ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มการลงทุนของภาคธุรกิจอีกด้วย เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลง จะมีผลให้ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายของธนาคารลดลงไป ซึ่งจะสามารถนำไปหักลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ได้ด้วยเช่นกัน นับเป็นการเพิ่มแรงจูงใจให้กับผู้ประกอบการตัดสินใจในการลงทุนเพิ่ม

แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนส่อแววไม่สู้ดีนัก สะท้อนผ่านตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาแย่กว่าคาดการณ์ในเดือนเม.ย. และสืบเนื่องมาจนถึงเดือนพ.ค. ซึ่งมีเหตุมาจากแนวโน้มการชะลอตัวของประเทศเศรษฐกิจหลักของโลก ดีมานต์ในต่างประเทศจึงปรับลดลง ส่งผลให้จีนมีระดับการผลิตและการส่งออกลดลงตามไปด้วย

นอกจากนั้น ประเด็นภายใน อย่างระดับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง อัตราการว่างงานของเด็กจบใหม่ที่พุ่งสูงขึ้นในรอบ 20 ปี ตัวเลขหนี้สาธารณะขององค์กรรัฐระดับท้องถิ่น และแนวโน้มการหดตัวลงของการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ ด้วยเหตุนี้ หลายฝ่ายได้เพิ่มมุมมองเชิงลบต่อเศรษฐกิจจีน ค่าเงินหยวนจึงมีทิศทางอ่อนค่าลงเป็นอย่างมาก ซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มมุมมองเชิงบวกต่อสหรัฐโดยเปรียบเทียบ และหนุนการปรับตัวขึ้นของดอลลาร์ในช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้ราคาทองคำได้รับแรงกดดันจากแนวโน้มเศรษฐกิจจีนด้วยเช่นกัน 

อย่างไรก็ดี ทางการจีนก็ได้ดำเนินมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเริ่มจากการร้องขอให้ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ของประเทศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง โดยการปรับลงตรงนี้นอกจากจะช่วยเพิ่มการใช้จ่ายของครัวเรือนแล้ว ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มการลงทุนของภาคธุรกิจอีกด้วย เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลง จะมีผลให้ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายของธนาคารลดลงไป ซึ่งจะสามารถนำไปหักลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ได้ด้วยเช่นกัน นับเป็นการเพิ่มแรงจูงใจให้กับผู้ประกอบการตัดสินใจในการลงทุนเพิ่ม

หลังจากนั้น ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรระยะเวลา 7 วัน (7-Day Reverse Repurchase Agreement) ลง 0.1% สู่ระดับ 1.9% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลาง (MLF) ระยะ 1 ปีซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีนลง 0.10% สู่ระดับ 2.65% รวมไปถึงมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ทั้งประเภท 1 ปี และ 5 ปี ลง 0.1% สู่ระดับ 3.55% และ 4.20% ตามลำดับ

อีกทั้งนักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางจีนจะปรับลดอัตราการสำรองเงิน (RRR) ซึ่งการปรับลดดังกล่าวจะยิ่งให้ธนาคารมีแหล่งเงินทุนที่สามารถปล่อยกู้เพิ่มมากขึ้น ตรงนี้จะช่วยทั้งการอุดหนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง และช่วยให้ธนาคารไม่ต้องระมัดระวังการปล่อยเงินกู้มากจนเกินไป พร้อมคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในระยะข้างหน้า โดยการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายขึ้นเช่นนี้ นับเป็นการเพิ่มแรงกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุนภายในประเทศ อันจะมีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดี

อย่างไรก็ตาม แม้ทางการจีนมีแนวโน้มจะเพิ่มแรงกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นอย่างที่กล่าวไป แต่ถึงกระนั้น นักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาตร์ของสถาบันการเงินรายใหญ่ในวอลล์สตรีทยังคงหั่นคาดการณ์ตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจจีนลง โดยทางนักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารยูบีเอส (UBS) ชี้ว่า พวกเขาคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มากกว่านี้    

364378

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์หลายสำนักนั้นให้คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจที่มากกว่าการตั้งเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของทางการจีนที่ 5% โดยมีปัจจัยสนับสนุนคือ ตัวเลขเงินเฟ้อในระดับต่ำของจีนที่จะสนับสนุนความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม อีกทั้งหากพิจารณาตามปัจจัยพื้นฐานแล้ว จะพบว่าเศรษฐกิจจีนยังคงมีช่องว่างการผลิต (Output gap) อยู่ค่อนข้างมาก ซึ่งหากมีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สมควร ก็มีแนวโน้มที่เศรษฐกิจจีนจะสามารถกลับเข้าสู่เส้นทางการฟื้นตัวที่ดีได้

อนึ่ง ในช่วงเดือนก.ค. จะมีการจัดประชุมคณะมนตรีรัฐกิจและคณะกรรมการบริหารพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยในที่ประชุมจะมีการทบทวนภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปี 2023 นี้ ทำให้หลายฝ่ายต่างจับตาการประชุมดังกล่าว พร้อมคาดหวังว่า ทางการจีนจะมีการใช้เครื่องมือทางนโยบายการคลังเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ แม้การดำเนินนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอาจมีส่วนให้ค่าเงินหยวนปรับอ่อนค่าลง เนื่องด้วยความต่างของทิศทางการดำเนินนโยบายกับประเทศเศรษฐกิจชั้นนำอย่าง สหรัฐ แต่หากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสามารถบรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพ ค่าเงินหยวนก็อาจมีการพลิกกลับมาเคลื่อนไหวในทิศทางแข็งค่าขึ้น ซึ่งอาจเป็นการสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์ได้ ด้วยเหตุนี้ มาตรการส่งเสริมเศรษฐกิจที่จะทยอยออกมาจึงอาจกลายเป็นปัจจัยหนุนต่อการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในระยะต่อไป

ฐิภา นววัฒนทรัพย์

ฐิภา นววัฒนทรัพย์

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท YLG Bullion And Future จำกัด

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT